....
วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553
วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553
วิตามินที่โลกรู้จักมีมากมายหลายชนิด
วิตามินที่โลกรู้จักมีมากมายหลายชนิด เช่น
วิตามิน A
ซึ่งมีมากในแอปริคอต ตับปลา แครอท ไข่แดง เนย ปลา และผักโขมสามารถป้องกันมะเร็งและ รักษาสายตา
วิตามิน D
มีมากในเห็ด ปลาซาร์ดีนและเนื้อสัตว์ มีหน้าที่ควบคุมปริมาณ แคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ช่วยให้กระดูกแข็งแรงไม่คดงอ
วิตามิน E
มีในน้ำมันพืช ข้าวสาลีและถั่ว สตรีที่ขาดวิตามินชนิดนี้จะแท้งครรภ์ ถ้าบริโภคพอดีวิตามินชนิดนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง แต่ถ้าบริโภคมากไปมัน จะทำให้คนบริโภคเป็นโรคหัวใจ
วิตามิน K
มีมากในพืชสีเขียว ช่วยทำให้เลือดแข็งตัวเร็ว
นอกจากนี้ ก็มีวิตามิน B อีกหลายชนิด เช่น วิตามิน B1 หรือที่เรียกกันในนาม ทั่วไปว่า thiamine มีในถั่ว หมูและข้าว คนที่ขาดวิตามินชนิดนี้มักเป็นโรค เหน็บชา ส่วนคนที่ติดสุราก็มักจะขาดวิตามินชนิดนี้เช่นกัน
วิตามิน B2
หรือที่รู้จักกันในนามว่า riboflavin นั้น มีมากในไข่ขาว นม ตับ และพืชสีเขียว ผิวคนที่ขาดวิตามินชนิดนี้จะแตก ลูกไก่ที่ขาดวิตามิน B2 จะเป็นง่อยเดินไม่ได้
วิตามิน niacin มีในตับ ปลา เนยเหลว ถั่ว และเนื้อที่ไม่มีไขมัน คนที่ขาด niacin จะมีผิวหนังที่มีรอยเป็นจ้ำๆ สีม่วง (pellagra) วิตามินชนิดนี้ยังสามารถลด ปริมาณคลอเรสเตอรอลในเลือดได้ด้วย
วิตามิน M
หรือกรด folic มีมากในตับ ไข่ ถั่วและผักสีเขียว คนที่ขาดวิตามิน ชนิดนี้มักเป็นโรคโลหิตจาง
วิตามิน C
หรือกรด ascorbic มีในผลไม้ประเภทส้ม พริกแดง มันฝรั่ง สตรอเบอรี่ บร็อกโคลี่และผัก คนที่ขาดวิตามิน C นี้ มักเป็นโรคลักปิดลักเปิด
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ร่างกายของสัตว์ไม่สามารถสังเคราะห์วิตามินได้ แต่พืชสามารถ ดังนั้น สัตว์จึงต้องกินพืชเพื่อให้ได้วิตามินในปริมาณที่เพียงพอ กับความต้องการของร่างกาย แต่คนเป็นสัตว์ที่มีพฤติกรรมการกินที่ไม่สมดุล คือเลือกกินอาหารบางประเภทอย่างจงใจและไม่กินอาหารบางประเภทอย่างตั้งใจ ดังนั้น คนเหล่านี้บางคนจึงมีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคขาดวิตามิน การกินวิตามิน เสริมจึงเป็นเรื่องที่ต้องกระทำ เพราะนักวิทยาศาสตร์ได้พบความจริงที่ว่ากรด folic สามารถป้องกันความพิการของทารกในครรภ์ได้ วิตามิน C สามารถลด โอกาสการเป็นมะเร็งปาก คอและกระเพาะได้ วิตามิน D สามารถป้องกันมะเร็ง ต่อมลูกหมาก มะเร็งกระเพาะและมะเร็งเต้านมได้ ส่วนวิตามิน E นั้น สามารถ ป้องกันโรคหัวใจและโรคอัลไซเมอร์ได้ ผู้คนจึงได้พากันซื้อวิตามินสำเร็จรูป มาบริโภคมากมายจนในบางกรณีเกินความจำเป็น
วิตามินกับโรคเหน็บชา
วิตามินกับโรคเหน็บชา |
เราทุกคนรู้ดีว่าการบริโภคอาหารที่เป็นพิษทำให้ร่างกายเจ็บป่วยและ เป็นโรคได้อย่างไร แต่ความรู้ที่ว่าคนเราสามารถล้มป่วยได้เช่นกัน หากร่างกายขาดสารอาหารบางชนิดดูเป็นความรู้ที่ขัดสามัญสำนึกและประสบการณ์ ทั้งปวง ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าสงสัยเลย ที่นักวิทยาศาสตร์เพิ่งตระหนักในความสำคัญของวิตามิน เมื่อประมาณ 100 ปีมานี้เองว่า ถ้าร่างกายขาดสารอาหารประเภทนี้เพียงแค่ 2-3 มิลลิกรัม ร่างกายก็จะเป็นโรคทันที
ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า ในปี พ.ศ. 2078 J. Cartier นักสำรวจชาวฝรั่งเศสได้รายงานว่า เมื่อคณะนักผจญภัยของเขาเดินทางถึงฝั่ง Newfoundland ในทวีปอเมริกาเหนือ กะลาสีเรือจำนวน 100 คนจาก 110 คนที่มี ได้ล้มป่วยด้วยโรคลักปิดลักเปิด (scurvy) คือมีอาการซึมเศร้า อ่อนเพลีย และในที่สุดกะลาสีเรือหลายคนได้ล้มตาย โดยแพทย์ประจำเรือหาสาเหตุไม่ได้เลย ส่วนกะลาสีเรือที่เหลือ เมื่อได้เคี้ยวใบของต้นสนเข็ม ตามคำเสนอแนะของหมอผีชาวอินเดียนแดง สุขภาพก็ได้กลับคืนสู่ภาพปกติในเวลาไม่นาน
อนึ่ง ในปี พ.ศ. 2290 J. Lind แพทย์ชาวอังกฤษก็ได้รายงานการพบว่า ผักสีเขียวและส้มได้ช่วยให้ทหารเรือประจำราชนาวีของอังกฤษ ที่ป่วยเป็นโรคลักปิดลักเปิดมีอาการดีขึ้นเช่นกัน แต่ Lind ก็ต้องใช้เวลานานถึง 48 ปี จึงสามารถทำให้กองทัพเรือออกกฎบังคับให้ทหารเรือ ทุกคนดื่มน้ำส้มทุกวัน
ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครตระหนักในความสำคัญของการค้นพบของ Lind เลย เพราะคนทุกคนคิดว่าน้ำส้มเป็นเพียงยาชนิดหนึ่งที่คนป่วย โรคลักปิดลักเปิดต้องกิน แทนที่จะรู้ว่าในน้ำส้มมีสารอาหารบางชนิดที่ร่างกายต้องการ
ในอิตาลีก็มีรายงานเช่นกันว่าคนจนที่นั่นมักล้มป่วยด้วยโรคท้องร่วงและหลายคนมีผิวหนังที่ปรากฏเป็นจ้ำๆ สีม่วง (pellagra) แต่เมื่อคนเหล่านี้ได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอาการป่วยก็หายยอย่างไม่รู้สาเหตุ (การวิเคราะห์สมมติฐานในเวลาต่อมาแสดงให้เห็นว่า เมื่อคนไข้บริโภคอาหารประเภทเนื้อไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย คนไข้จึงได้ล้มป่วย แต่เมื่อโรงพยาบาลให้คนไข้บริโภคเนื้อ ที่มีวิตามิน niacin เพียงพอ คนไข้ก็มีสุขภาพดีทันที)
โลกเริ่มรู้จักสารอาหารที่จำเป็นต่อชีวิตเมื่อประมาณ 100 ปีมานี้เอง เมื่อ Casimir Funk ได้ย่อคำที่ใช้เรียกสารอาหารนี้จากคำ vitalamine เป็น vitamin แทน การศึกษาสมบัติพื้นฐานของวิตามินได้แสดงให้เรารู้ว่า วิตามินแตกต่างจากอาหารประเภทอื่นอันได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมันและเกลือแร่ ในประเด็นที่ว่า สัตว์ (ซึ่งรวมทั้งคน) ไม่สามารถสังเคราะห์วิตามินได้ด้วยตนเอง ดังนั้น สัตว์จึงต้องกินพืช (ซึ่งสามารถสร้างวิตามินได้เอง) และนี่ก็คือวิธีเดียวที่สัตว์จะได้วิตามิน นอกจากนี้ วิตามินยังแตกต่างจากเกลือแร่ ในประเด็นที่ว่า เวลามันได้รับความร้อน มันจะสลายตัว แต่เกลือแร่จะยังคงสภาพเดิม ดังนั้น การปรุงอาหารด้วยความร้อนที่รุนแรงเป็น เวลานานๆ จะทำลายวิตามินจนหมดสิ้น
![]() ![]() |
ภาพจาก : http://ag.arizona.edu/NSC/courses/104nsc/ch07/ch07.htm |
โรคเหน็บชาเป็นโรคชนิดหนึ่งที่ผู้ป่วยมีอาการเข่าอ่อน ท้องและแขน ขาบวมและในหลายกรณี ผู้ป่วยมักจะเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวาย สำหรับสาเหตุที่ทำให้คนเป็นโรคชนิดนี้นั้น แพทย์ปัจจุบันรู้ว่าเพราะร่างกายขาดวิตามิน B1 หรือ thiamine ในอดีตผู้คนในทวีป เอเซียตะวันออกเฉียงใต้จำนวนล้านคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้เคยเป็นโรคเหน็บชานี้ ทุกวันนี้การขาดวิตามิน B1 คือสาเหตุที่ทำให้คน ที่ติดสุรายาเมามีปัญหาด้านสติปัญญาต่ำเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อสมองและร่างกายนั่นเอง
ในหนังสือชื่อ Beriberi, White Rice, and Vitamin B : A Disease, a Cause, and Cure ที่แต่งโดย K. J. Carpenter และจัดพิมพ์โดย University of California Press ราคา $40 Carpenter ได้บรรยายถึงประวัติความเป็นมาและสาเหตุของโรค เขตร้อนชนิดนี้ รวมทั้งการทดลองค้นหาวิธีป้องกันและรักษาโรคร้ายนี้จนเป็นผลสำเร็จว่าวีรบุรุษของโรคเหน็บชาชื่อ Christiaan Eijkman นายแพทย์ชาวเนเธอร์แลนด์ประจำโรงพยาบาลบนเกาะชวา ในประเทศอินโดนีเซีย เมื่อประมาณ 115 ปีก่อนนี้
ในความพยายามที่จะค้นหาสาเหตุการเป็นโรคเหน็บชา Eijkman ได้เอาเลือดของผู้ป่วยโรคเหน็บชาฉีดเข้าไปในลูกไก่ และเขาได้สังเกต เห็นว่า ลูกไก่ตัวที่ไม่โดนฉีดเลือดและได้กินแต่ข้าวสวยที่หุงแล้ว มีอาการขาอ่อนเปลี้ยเหมือนกับคนที่เป็นโรคเหน็บชา Eijkman จึงตระหนักได้ทันทีว่า โรคเหน็บชามีสาเหตุมาจากอาหารที่กินหาได้มาจากเชื้อโรคใดๆ ไม่
Carpenter ได้กล่าวว่า โชคก็มีบทบาทไม่น้อยในการค้นพบนี้เพราะจริงๆ แล้ว Eijkman ได้เริ่มการทดลองโดยใช้กระต่ายและลิง แต่เมื่อเขาต้องการใช้สัตว์จำนวนมากและเงินก็มากด้วย เขาจึงต้องหันมาใช้ลูกไก่แทน ซึ่งถ้าเขาให้กระต่ายและลิงกินข้าวสวย ผลการทดลองจะไม่เด่นชัดเท่ากรณีลูกไก่
เมื่อ Eijkman พบความจริงเกี่ยวกับโรคเหน็บชาแล้ว เขาได้เดินทางกลับเนเธอร์แลนด์อละทดสอบความคิดนี้กับคนโดยใช้นักโทษ คนป่วยและทหารเป็นหนูตะเภาโดยในการทดลองหนึ่ง เขาจัดอาหารที่เขาคิดว่า ใครก็ตามที่กินเข้าไปแล้วจะเป็นโรคเหน็บชา ให้นักโทษกินอย่างจงใจ ในขณะเดียวกัน R.P. Strong และ B.C. Crowell แห่งมหาวิทยาลัย Harvard ก็ได้ใช้นักโทษฟิลิปปินส์ 29 คนที่ถูกจำคุกตลอดชีวิตเป็นหนูตะเภาด้วย ถึงแม้ว่านักโทษเหล่านี้จะไม่ได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ ในฐานะที่ทำคุณงามความดีให้แก่โลก ก็ตาม แต่พวกเขาก็ได้บุหรี่ และซิการ์ฟรี ตลอดเวลาที่เป็นหนูตะเภา นอกจากนี้ พวกเขายังต้องเซ็นชื่อยินยอมให้ Strong และ Crowell ทดลองกับตน ทั้งๆ ที่รู้ว่าเสี่ยงจะเป็นโรคเหน็บชา
โรคคันตา
คันตา หรือคันในตา เป็นอาการที่ทุกคนคงเคยเป็นเพราะอาการคันตาก็เช่นเดียวกับอาการคันส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เป็นต้นว่า คันจมูก คันหู คันตามตัว คันคอ และ...ฯลฯ เรื่อยไป จนกระทั่ง...”คันปาก” ก็ยังเคยใช่ไหมครับ ?
⇒ สาเหตุสาเหตุของการคันที่ในตา มักจะมีต้นตอมาจาก สาเหตุจากการคันตามเยื่อเมือกส่วนอื่น ๆ ของร่างกายและผิวหนังตามตัว นั่นก็คือ
1.ละอองเกสรดอกไม้ ฝุ่น แดด ความร้อน อุณหภูมิเย็นจัด เช่นในห้องปรับอากาศ ร้อนจัด หรือในที่ชื้นอับ ฯลฯ
2.ยาหยอดตาบางชนิดที่เข้าปฏิชีวนะ ที่ผู้นั้นเคยกินหรือทาตามผิวหนังทำให้เกิดอาการคันเพราะแพ้ได้
3.ฤดูกาล โดยเฉพาะฤดูร้อนเป็นกันมาก ฤดูฝนหรือฤดูหนาวไม่ค่อยพบ มักพบในเด็กวัยอนุบาลหรือในประถมต้น ในผู้ใหญ่เกิน 20 ปีพบน้อย
4.การติดเชื้อ โดยเฉพาะเชื้อไวรัส ทำให้มีอาการคันได้เช่นเดียวกับการติดเชื้อหวัด ทำให้คัดจมูก คันจมูก คันคอ ไอ เช่นเดียวกัน
5.พิษจากสารเคมีบางอย่าง เช่น พวกยาฆ่าแมลง ยาฆ่าเชื้อรา ชาวสวนชาวไร่ใช้ฉีดตามต้นไม้ ดอกไม้ ทำลายศัตรูพืช
6.น้ำยา สารระเหยต่าง ๆ เช่น แอลกอฮอล์ น้ำยาฟอร์มาลิน กระทั่งน้ำอบน้ำหอมที่ใช้สเปย์
7.เครื่องสำอางสารพัดชนิดที่ใช้ทาบริเวณใบหน้า ทาขอบตาทาขนตา
8.แมลงชนิดต่าง ๆ ที่บินเข้าตาโดยเฉพาะแมลงปีกแข็งที่มีกลิ่นเหม็นฉุนมาก ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า
"แมลงตด” แมลงชนิดนี้บินเข้าตาทำให้ถึงตาบอดได้ ในรายที่โดนแรง ๆ ทำให้กระจกตาดำเป็นแผล
ขอบเปลือกตาไหม้อักเสบ เจ็บ ๆ คัน ๆ ปวดแสบปวดร้อนอย่างมาก
9.พวกพยาธิบางชนิด เช่น ตัวจิ๊ด ถ้าเข้าบริเวณเปลือกตา ทำให้บวม ๆ เจ็บ ๆ คัน ๆได้
เท่า ที่ให้ไว้ทั้งหมดนั้นเป็นสาเหตุที่พบได้เสมอ ๆในการออกตรวจโรคตาผู้ป่วยที่มาหาจักษุแพทย์ทั่ว ๆ ไป ส่วนที่เหลือนอกจากที่กล่าวแล้ว อาจมีบ้างไม่มากนัก และก็เป็นเรื่องที่ผู้นั้นมีปฏิกิริยาแพ้ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเห็นได้ ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น บางคนใส่เลนส์สัมผัส (คอนแทคเลนส์) ใส่ได้ไม่ถึง 24 ชั่วโมง ตาแดงทั้ง 2 ข้าง คันตายุบยิบไปหมด นั่นก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ว่า แพ้เลนส์สัมผัส เช่นนี้ควรจะเลิกใส่ได้ ขืนใส่ต่อไปยิ่งอันตรายมาก หรือบางคนแพ้น้ำในสระลงว่ายน้ำครั้งใดคันตาทุกที อาจแพ้คลอรีนหรือสารที่ใส่ลงไปให้เกิดสีของน้ำ ไม่ทราบว่าถ้าเป็นน้ำในอ่างจะแพ้หรือเปล่า ?
⇒ อาการของโรคคันตา
อาการของผู้ที่แพ้สิ่งต่าง ๆ ดังกล่าว อย่างใดอย่างหนึ่ง จะทำให้มีอาการคันตาหรือขอบตา มีความรู้สึกอยากขยี้ ทั้งนี้เพราะ..“ยิ่งขยี้ ยิ่งมัน” เช่นเดียวกับโดนยุงกัด หรือผึ้งต่อยมา 3-4 วันแล้ว จะคันบริเวณนั้นจนอยากจะเกาและหยิกให้มันมือไปยังไงก็อย่างนั้นเชียวแหละ
นอก จากคันอันเป็นอาการอันแรกแล้ว ต่อมาจะพบบริเวณนั้น บวมและแดง ถ้าเป็นที่เยื่อตาขาวจะเห็นว่าบวม ย่น จนบางคนตกใจ เมื่อเห็นเยื่อตาขาวตัวเองบวมเต่งและย่น เมื่อเหลือบตาไปทางซ้ายหรือขวา อีกทั้งแดงเหมือนผิวมะเขือเทศสุก หรือเนื้อผมมะไฟสุก (จากการส่องกระจกเงาดูตาตัวเอง)ถ้า เป็นบริเวณขอบตาหรือเปลือกตา จะเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น คือบริเวณขอบตาจะบวมและหนาตัวขึ้นมา คันตรงตำแหน่งนั้นมาก ถ้าเป็นพวกแพ้ยาหยอดหรือเครื่องสำอาง หรือสารเคมีจะเป็นทั้ง 2 ข้าง ขอบตาหนาเป็นผื่นเห่อชัดเจน
⇒ การปฏิบัติตัวและการรักษา
1.ถ้า ทราบแน่ชัดว่าน่าจะแพ้อะไรค่อนข้างแน่นอน ให้หยุดการใช้สิ่งนั้นหรือเลี่ยงต่อสิ่งนั้นให้มากที่สุด แล้วกินยาแก้แพ้ ซึ่งอาจจะเป็นคลอร์เฟนิรามีน(ขนาด 4 มิลลิกรัม) 1 เม็ด 3 เวลาหลังอาหารแล้วนอนพัก ประมาณ 24 ชั่วโมงก็จะทุเลา
2.ถ้าภายหลัง 24 ชั่วโมง อาการไม่ดีขึ้นควรรับไปพบแพทย์ ปรึกษาดูว่ามีสาเหตุจากอะไรแน่
3.จะมีอยู่โรคหนึ่งที่เป็นหน้าร้อน และเป็นในเด็กอนุบาลหรือประถมต้นมากที่สุด (ตามสาเหตุข้อ 3.) พวกนี้จะคันตลอดเวลา คันที่เยื่อตาขาว เด็กจะขยี้จนตาแดง น้ำตาไหล เราเรียกโรคนี้ว่า..“โรคเยื่อตาอักเสบฤดูร้อน ” หรือภาษาแพทย์เรียกว่า Sumer Season Conjunctivitis พวกนี้ต้องได้รับการรักษาให้ถูกต้อง มิฉะนั้นเด็กจะคันมากและแดงตลอดเวลา น่ารำคาญ บิดา มารดา หรือผู้ปกครองเป็นทุกข์มาก
4.รู้สึกคัน พยายามเลี่ยงการขยี้ตา หรือถ้าอยากขยี้จนตัวสั่นก็ขยี้พอสมควร ไม่ควรขยี้จนเยื่อตาขาวบวมหรือเปลือกตาบวม จะทำให้รู้สึกตาพร่าได้จากแรงขยี้ เพราะแรงขยี้อาจจะทำให้กระจกตาบวมชั่วคราว
5. ใช้น้ำแข็งก้อนขนาด 3 x 4 มิลลิลิตร หรือขนาดน้ำแข็งหลอดห่อด้วยถุงพลาสติกเล็ก ๆ แล้วเอาผ้าเช็ดหน้าสะอาดห่อถุงพลาสติกอีกชั้นนำมาวางประคบลงบนเปลือกตาข้าง นั้น ความเย็นจากน้ำแข็ง (Clod compress)จะทำให้อาการคันและบวมทุเลาไปได้เกือบปลิดทิ้ง หรือถ้าใจร้อนจะเอาน้ำแข็งก้อนขนาดดังกล่าว วางแปะลงไปบนเปลือกตาเลยโดยตรงก็ได้ แต่จะทำให้ตาแฉะเพราะน้ำแข็งละลายเลอะใบหน้าไปหมด และอยู่ได้ไม่ทน
⇒ โรคคันตาอันตรายไหม
ขึ้น อยู่กับสาเหตุ ส่วนมากไม่มีอันตรายมากถึงขั้นตาพิการ ถ้าทราบแน่ชัดว่าแพ้อะไร และหยุดยั้งสิ่งนั้นได้ หรือสามารถให้ยาแก้แพ้ต่อสิ่งนั้นทันที
เคยพบเหมือนกันที่ว่า แพ้ตัวแมลงอะไรไม่ทราบ ทำให้กระจกตาดำเป็นแผลเกิดการอักเสบซ้ำซ้อน ในที่สุดตาพิการ แม้แต่คนไข้ที่โดนงูเห่าพ่นพิษเข้าบริเวณหน้าและเข้าตา ถ้ามารักษาเร็วและทราบว่าเป็นพิษงูยังพอรักษาให้หายได้ทัน
⇒ โรคแทรกซ้อนปกติ แล้ว โรคแทรกซ้อนจากการแพ้บริเวณเยื่อตาหรือเปลือกตาไม่ค่อยมี เว้นกรณีที่ปฏิบัติตัวไม่ถูกสุขลักษณะ อาจติดเชื้อซ้ำซ้อนได้จากแบคทีเรีย แต่กระนั้นก็ตามที ถ้ามาปรึกษาแพทย์ก็สามารถช่วยให้ยารักษาโรคแทรกซ้อนได้ ถ้าไม่รุนแรงเกินไปจนทำให้กระจกตาดำเป็นแผลและมีหนองดังที่ได้ยก
ตัวอย่างแล้ว
โรค คันตาที่เกิดจากการแพ้แบบเฉียบพลันต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเป็นอยู่ชั่วคราว เท่านั้น ผิดกับโรคเยื่อตาคันจากฤดูร้อน พวกนี้จะคันตลอดช่วงหน้าร้อน พ้นหน้าร้อนอาการจะหายไป
วิตามินบี ส่วนใหญ่ได้มาจากอาหารประเภท

วิตามิน บี1
มีมากในธัญพืช ข้าวกล้อง และข้าวที่ยังไม่ถูกขัดสี ตับและเนื้อของวัวหรือหมู ปลา ไข่ นม เต้าหู้ หรือถั่วหมัก ถั่วต่างๆ รำข้าว ข้าวซ้อมมือ งา กระเทียมแหล่งวิตามิน บี2
นม ไข่แดง ไข่ปลา เนยแข็ง ตับ ผักใบเขียวแหล่งวิตามิน บี 3
พบในเนื้อไม่มีมัน เป็ด ไก่ ปลา ตับ วัว กุ้งเจ่า ผลิตผลจากจมูกข้าวสาลี ข้าวสาลี ถั่วแห้ง ถั่วสด บริวเวอร์ ยีสต์ และผักสีเขียวต่าง ๆ โดยเฉพาะผักชะอม ผักกระถิน มะแว้ง ใบชะพลู ใบทองหลาง ใบยอ และเห็ดแหล่งวิตามิน บี 5
วิตามินบี 5 พบมากที่สุดในตับ รองลงมาได้แก่ เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา ถั่ว เมล็ดธัญพืช ไข่แดง บริวเวอร์ยีสต์ เป็นต้น
แหล่งวิตามิน บี6
ข้าวสาลี ข้าวโพด ตับ เนื้อหมู เนื้อไก่ ปลาแหล่งวิตามิน บี 9 (กรดโฟลิค)
พบมากที่สุดในผักสีเขียวจัด ตับ และบริวเวอร์ยีสต์ นอกจากนี้ยังพบได้ในผลไม้สด ฟักทอง ถั่ว และเมล็ดต่างๆ อะโวคาโด แป้งข้าวสาลีทั้งเม็ด ( WHOLE WHEAT ) แป้งข้าวไรน์ แตงแคนตาลูป แครอท ไต ไข่แดงแหล่งวิตามินบี 12
ได้แก่ ตับ ไต เนื้อ เนื้อหมู ปลาเค็ม ปลาหมึก น้ำปลา เนื้อแกะ ปลาเนื้อขาว หอย ไข่ นม เนย เนยแข็ง โยเกิร์ต รำข้าว ข้าวซ้อมมือ ถั่ว เมล็ดแห้ง ถั่วหมัก (ถั่วเน่า) เต้าเจี้ยว ซีอิ๊ว และผักใบสีเขียวแก่ แต่มีมากใน ไต กล้าม เนื้อสัตว์ ปลา และอาหารพวกนม เนยแหล่งวิตามิน บี 15(กรดแพงกามิค)
พบมากในเนื้อของเมล็ดเอพริคอท รำข้าว ข้าวเจ้า ผลไม้จำพวกตระกูลแตง เป็นต้นแหล่งวิตามิน บี 17(อะมิกดาลิน)
เม็ดในแอพริคอท เม็ดในของลูกพีช ไส้แอปเปิ้ล *เนื่องจากเป็นวิตามินตัวใหม่จึงต้องค้นคว้ากันต่อไปhttp://th.answers.yahoo.com/question/index?qid=20080523182039AAF2eXx
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)