....
วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553
การเข้า BBM ไม่ได้
วิธีที่ 1 : batt pull (หายทุกครั้ง แต่พอปิดเครื่องแล้วเปิดใหม่ก็จะเป็นทุกครั้งเหมือนกัน)
วิธีที่ 2 : เข้าไปที่ option เลือก advanced option เลือก Host Routing Table กดปุ่ม bb เลือก Register now ก็จะได้ EDGE ตัวใหญ่ ( batt pull 1 ครั้ง บางคนจะแก้ปัญหานี้ได้เลย บางคนต้องทำหลายครั้งค่ะ เช่น แอมเป็นต้น)
วิธีที่ 3 เข้า brower ค่ะจะได้ EDGE ตัวใหญ่ (แต่ไม่เสมอไปทุกครั้งค่ะ)
วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553
วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553
วิตามินที่โลกรู้จักมีมากมายหลายชนิด
วิตามินที่โลกรู้จักมีมากมายหลายชนิด เช่น
วิตามิน A
ซึ่งมีมากในแอปริคอต ตับปลา แครอท ไข่แดง เนย ปลา และผักโขมสามารถป้องกันมะเร็งและ รักษาสายตา
วิตามิน D
มีมากในเห็ด ปลาซาร์ดีนและเนื้อสัตว์ มีหน้าที่ควบคุมปริมาณ แคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ช่วยให้กระดูกแข็งแรงไม่คดงอ
วิตามิน E
มีในน้ำมันพืช ข้าวสาลีและถั่ว สตรีที่ขาดวิตามินชนิดนี้จะแท้งครรภ์ ถ้าบริโภคพอดีวิตามินชนิดนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง แต่ถ้าบริโภคมากไปมัน จะทำให้คนบริโภคเป็นโรคหัวใจ
วิตามิน K
มีมากในพืชสีเขียว ช่วยทำให้เลือดแข็งตัวเร็ว
นอกจากนี้ ก็มีวิตามิน B อีกหลายชนิด เช่น วิตามิน B1 หรือที่เรียกกันในนาม ทั่วไปว่า thiamine มีในถั่ว หมูและข้าว คนที่ขาดวิตามินชนิดนี้มักเป็นโรค เหน็บชา ส่วนคนที่ติดสุราก็มักจะขาดวิตามินชนิดนี้เช่นกัน
วิตามิน B2
หรือที่รู้จักกันในนามว่า riboflavin นั้น มีมากในไข่ขาว นม ตับ และพืชสีเขียว ผิวคนที่ขาดวิตามินชนิดนี้จะแตก ลูกไก่ที่ขาดวิตามิน B2 จะเป็นง่อยเดินไม่ได้
วิตามิน niacin มีในตับ ปลา เนยเหลว ถั่ว และเนื้อที่ไม่มีไขมัน คนที่ขาด niacin จะมีผิวหนังที่มีรอยเป็นจ้ำๆ สีม่วง (pellagra) วิตามินชนิดนี้ยังสามารถลด ปริมาณคลอเรสเตอรอลในเลือดได้ด้วย
วิตามิน M
หรือกรด folic มีมากในตับ ไข่ ถั่วและผักสีเขียว คนที่ขาดวิตามิน ชนิดนี้มักเป็นโรคโลหิตจาง
วิตามิน C
หรือกรด ascorbic มีในผลไม้ประเภทส้ม พริกแดง มันฝรั่ง สตรอเบอรี่ บร็อกโคลี่และผัก คนที่ขาดวิตามิน C นี้ มักเป็นโรคลักปิดลักเปิด
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ร่างกายของสัตว์ไม่สามารถสังเคราะห์วิตามินได้ แต่พืชสามารถ ดังนั้น สัตว์จึงต้องกินพืชเพื่อให้ได้วิตามินในปริมาณที่เพียงพอ กับความต้องการของร่างกาย แต่คนเป็นสัตว์ที่มีพฤติกรรมการกินที่ไม่สมดุล คือเลือกกินอาหารบางประเภทอย่างจงใจและไม่กินอาหารบางประเภทอย่างตั้งใจ ดังนั้น คนเหล่านี้บางคนจึงมีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคขาดวิตามิน การกินวิตามิน เสริมจึงเป็นเรื่องที่ต้องกระทำ เพราะนักวิทยาศาสตร์ได้พบความจริงที่ว่ากรด folic สามารถป้องกันความพิการของทารกในครรภ์ได้ วิตามิน C สามารถลด โอกาสการเป็นมะเร็งปาก คอและกระเพาะได้ วิตามิน D สามารถป้องกันมะเร็ง ต่อมลูกหมาก มะเร็งกระเพาะและมะเร็งเต้านมได้ ส่วนวิตามิน E นั้น สามารถ ป้องกันโรคหัวใจและโรคอัลไซเมอร์ได้ ผู้คนจึงได้พากันซื้อวิตามินสำเร็จรูป มาบริโภคมากมายจนในบางกรณีเกินความจำเป็น
วิตามินกับโรคเหน็บชา
วิตามินกับโรคเหน็บชา |
เราทุกคนรู้ดีว่าการบริโภคอาหารที่เป็นพิษทำให้ร่างกายเจ็บป่วยและ เป็นโรคได้อย่างไร แต่ความรู้ที่ว่าคนเราสามารถล้มป่วยได้เช่นกัน หากร่างกายขาดสารอาหารบางชนิดดูเป็นความรู้ที่ขัดสามัญสำนึกและประสบการณ์ ทั้งปวง ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าสงสัยเลย ที่นักวิทยาศาสตร์เพิ่งตระหนักในความสำคัญของวิตามิน เมื่อประมาณ 100 ปีมานี้เองว่า ถ้าร่างกายขาดสารอาหารประเภทนี้เพียงแค่ 2-3 มิลลิกรัม ร่างกายก็จะเป็นโรคทันที
ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า ในปี พ.ศ. 2078 J. Cartier นักสำรวจชาวฝรั่งเศสได้รายงานว่า เมื่อคณะนักผจญภัยของเขาเดินทางถึงฝั่ง Newfoundland ในทวีปอเมริกาเหนือ กะลาสีเรือจำนวน 100 คนจาก 110 คนที่มี ได้ล้มป่วยด้วยโรคลักปิดลักเปิด (scurvy) คือมีอาการซึมเศร้า อ่อนเพลีย และในที่สุดกะลาสีเรือหลายคนได้ล้มตาย โดยแพทย์ประจำเรือหาสาเหตุไม่ได้เลย ส่วนกะลาสีเรือที่เหลือ เมื่อได้เคี้ยวใบของต้นสนเข็ม ตามคำเสนอแนะของหมอผีชาวอินเดียนแดง สุขภาพก็ได้กลับคืนสู่ภาพปกติในเวลาไม่นาน
อนึ่ง ในปี พ.ศ. 2290 J. Lind แพทย์ชาวอังกฤษก็ได้รายงานการพบว่า ผักสีเขียวและส้มได้ช่วยให้ทหารเรือประจำราชนาวีของอังกฤษ ที่ป่วยเป็นโรคลักปิดลักเปิดมีอาการดีขึ้นเช่นกัน แต่ Lind ก็ต้องใช้เวลานานถึง 48 ปี จึงสามารถทำให้กองทัพเรือออกกฎบังคับให้ทหารเรือ ทุกคนดื่มน้ำส้มทุกวัน
ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครตระหนักในความสำคัญของการค้นพบของ Lind เลย เพราะคนทุกคนคิดว่าน้ำส้มเป็นเพียงยาชนิดหนึ่งที่คนป่วย โรคลักปิดลักเปิดต้องกิน แทนที่จะรู้ว่าในน้ำส้มมีสารอาหารบางชนิดที่ร่างกายต้องการ
ในอิตาลีก็มีรายงานเช่นกันว่าคนจนที่นั่นมักล้มป่วยด้วยโรคท้องร่วงและหลายคนมีผิวหนังที่ปรากฏเป็นจ้ำๆ สีม่วง (pellagra) แต่เมื่อคนเหล่านี้ได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอาการป่วยก็หายยอย่างไม่รู้สาเหตุ (การวิเคราะห์สมมติฐานในเวลาต่อมาแสดงให้เห็นว่า เมื่อคนไข้บริโภคอาหารประเภทเนื้อไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย คนไข้จึงได้ล้มป่วย แต่เมื่อโรงพยาบาลให้คนไข้บริโภคเนื้อ ที่มีวิตามิน niacin เพียงพอ คนไข้ก็มีสุขภาพดีทันที)
โลกเริ่มรู้จักสารอาหารที่จำเป็นต่อชีวิตเมื่อประมาณ 100 ปีมานี้เอง เมื่อ Casimir Funk ได้ย่อคำที่ใช้เรียกสารอาหารนี้จากคำ vitalamine เป็น vitamin แทน การศึกษาสมบัติพื้นฐานของวิตามินได้แสดงให้เรารู้ว่า วิตามินแตกต่างจากอาหารประเภทอื่นอันได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมันและเกลือแร่ ในประเด็นที่ว่า สัตว์ (ซึ่งรวมทั้งคน) ไม่สามารถสังเคราะห์วิตามินได้ด้วยตนเอง ดังนั้น สัตว์จึงต้องกินพืช (ซึ่งสามารถสร้างวิตามินได้เอง) และนี่ก็คือวิธีเดียวที่สัตว์จะได้วิตามิน นอกจากนี้ วิตามินยังแตกต่างจากเกลือแร่ ในประเด็นที่ว่า เวลามันได้รับความร้อน มันจะสลายตัว แต่เกลือแร่จะยังคงสภาพเดิม ดังนั้น การปรุงอาหารด้วยความร้อนที่รุนแรงเป็น เวลานานๆ จะทำลายวิตามินจนหมดสิ้น
![]() ![]() |
ภาพจาก : http://ag.arizona.edu/NSC/courses/104nsc/ch07/ch07.htm |
โรคเหน็บชาเป็นโรคชนิดหนึ่งที่ผู้ป่วยมีอาการเข่าอ่อน ท้องและแขน ขาบวมและในหลายกรณี ผู้ป่วยมักจะเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวาย สำหรับสาเหตุที่ทำให้คนเป็นโรคชนิดนี้นั้น แพทย์ปัจจุบันรู้ว่าเพราะร่างกายขาดวิตามิน B1 หรือ thiamine ในอดีตผู้คนในทวีป เอเซียตะวันออกเฉียงใต้จำนวนล้านคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้เคยเป็นโรคเหน็บชานี้ ทุกวันนี้การขาดวิตามิน B1 คือสาเหตุที่ทำให้คน ที่ติดสุรายาเมามีปัญหาด้านสติปัญญาต่ำเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อสมองและร่างกายนั่นเอง
ในหนังสือชื่อ Beriberi, White Rice, and Vitamin B : A Disease, a Cause, and Cure ที่แต่งโดย K. J. Carpenter และจัดพิมพ์โดย University of California Press ราคา $40 Carpenter ได้บรรยายถึงประวัติความเป็นมาและสาเหตุของโรค เขตร้อนชนิดนี้ รวมทั้งการทดลองค้นหาวิธีป้องกันและรักษาโรคร้ายนี้จนเป็นผลสำเร็จว่าวีรบุรุษของโรคเหน็บชาชื่อ Christiaan Eijkman นายแพทย์ชาวเนเธอร์แลนด์ประจำโรงพยาบาลบนเกาะชวา ในประเทศอินโดนีเซีย เมื่อประมาณ 115 ปีก่อนนี้
ในความพยายามที่จะค้นหาสาเหตุการเป็นโรคเหน็บชา Eijkman ได้เอาเลือดของผู้ป่วยโรคเหน็บชาฉีดเข้าไปในลูกไก่ และเขาได้สังเกต เห็นว่า ลูกไก่ตัวที่ไม่โดนฉีดเลือดและได้กินแต่ข้าวสวยที่หุงแล้ว มีอาการขาอ่อนเปลี้ยเหมือนกับคนที่เป็นโรคเหน็บชา Eijkman จึงตระหนักได้ทันทีว่า โรคเหน็บชามีสาเหตุมาจากอาหารที่กินหาได้มาจากเชื้อโรคใดๆ ไม่
Carpenter ได้กล่าวว่า โชคก็มีบทบาทไม่น้อยในการค้นพบนี้เพราะจริงๆ แล้ว Eijkman ได้เริ่มการทดลองโดยใช้กระต่ายและลิง แต่เมื่อเขาต้องการใช้สัตว์จำนวนมากและเงินก็มากด้วย เขาจึงต้องหันมาใช้ลูกไก่แทน ซึ่งถ้าเขาให้กระต่ายและลิงกินข้าวสวย ผลการทดลองจะไม่เด่นชัดเท่ากรณีลูกไก่
เมื่อ Eijkman พบความจริงเกี่ยวกับโรคเหน็บชาแล้ว เขาได้เดินทางกลับเนเธอร์แลนด์อละทดสอบความคิดนี้กับคนโดยใช้นักโทษ คนป่วยและทหารเป็นหนูตะเภาโดยในการทดลองหนึ่ง เขาจัดอาหารที่เขาคิดว่า ใครก็ตามที่กินเข้าไปแล้วจะเป็นโรคเหน็บชา ให้นักโทษกินอย่างจงใจ ในขณะเดียวกัน R.P. Strong และ B.C. Crowell แห่งมหาวิทยาลัย Harvard ก็ได้ใช้นักโทษฟิลิปปินส์ 29 คนที่ถูกจำคุกตลอดชีวิตเป็นหนูตะเภาด้วย ถึงแม้ว่านักโทษเหล่านี้จะไม่ได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ ในฐานะที่ทำคุณงามความดีให้แก่โลก ก็ตาม แต่พวกเขาก็ได้บุหรี่ และซิการ์ฟรี ตลอดเวลาที่เป็นหนูตะเภา นอกจากนี้ พวกเขายังต้องเซ็นชื่อยินยอมให้ Strong และ Crowell ทดลองกับตน ทั้งๆ ที่รู้ว่าเสี่ยงจะเป็นโรคเหน็บชา
โรคคันตา
คันตา หรือคันในตา เป็นอาการที่ทุกคนคงเคยเป็นเพราะอาการคันตาก็เช่นเดียวกับอาการคันส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เป็นต้นว่า คันจมูก คันหู คันตามตัว คันคอ และ...ฯลฯ เรื่อยไป จนกระทั่ง...”คันปาก” ก็ยังเคยใช่ไหมครับ ?
⇒ สาเหตุสาเหตุของการคันที่ในตา มักจะมีต้นตอมาจาก สาเหตุจากการคันตามเยื่อเมือกส่วนอื่น ๆ ของร่างกายและผิวหนังตามตัว นั่นก็คือ
1.ละอองเกสรดอกไม้ ฝุ่น แดด ความร้อน อุณหภูมิเย็นจัด เช่นในห้องปรับอากาศ ร้อนจัด หรือในที่ชื้นอับ ฯลฯ
2.ยาหยอดตาบางชนิดที่เข้าปฏิชีวนะ ที่ผู้นั้นเคยกินหรือทาตามผิวหนังทำให้เกิดอาการคันเพราะแพ้ได้
3.ฤดูกาล โดยเฉพาะฤดูร้อนเป็นกันมาก ฤดูฝนหรือฤดูหนาวไม่ค่อยพบ มักพบในเด็กวัยอนุบาลหรือในประถมต้น ในผู้ใหญ่เกิน 20 ปีพบน้อย
4.การติดเชื้อ โดยเฉพาะเชื้อไวรัส ทำให้มีอาการคันได้เช่นเดียวกับการติดเชื้อหวัด ทำให้คัดจมูก คันจมูก คันคอ ไอ เช่นเดียวกัน
5.พิษจากสารเคมีบางอย่าง เช่น พวกยาฆ่าแมลง ยาฆ่าเชื้อรา ชาวสวนชาวไร่ใช้ฉีดตามต้นไม้ ดอกไม้ ทำลายศัตรูพืช
6.น้ำยา สารระเหยต่าง ๆ เช่น แอลกอฮอล์ น้ำยาฟอร์มาลิน กระทั่งน้ำอบน้ำหอมที่ใช้สเปย์
7.เครื่องสำอางสารพัดชนิดที่ใช้ทาบริเวณใบหน้า ทาขอบตาทาขนตา
8.แมลงชนิดต่าง ๆ ที่บินเข้าตาโดยเฉพาะแมลงปีกแข็งที่มีกลิ่นเหม็นฉุนมาก ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า
"แมลงตด” แมลงชนิดนี้บินเข้าตาทำให้ถึงตาบอดได้ ในรายที่โดนแรง ๆ ทำให้กระจกตาดำเป็นแผล
ขอบเปลือกตาไหม้อักเสบ เจ็บ ๆ คัน ๆ ปวดแสบปวดร้อนอย่างมาก
9.พวกพยาธิบางชนิด เช่น ตัวจิ๊ด ถ้าเข้าบริเวณเปลือกตา ทำให้บวม ๆ เจ็บ ๆ คัน ๆได้
เท่า ที่ให้ไว้ทั้งหมดนั้นเป็นสาเหตุที่พบได้เสมอ ๆในการออกตรวจโรคตาผู้ป่วยที่มาหาจักษุแพทย์ทั่ว ๆ ไป ส่วนที่เหลือนอกจากที่กล่าวแล้ว อาจมีบ้างไม่มากนัก และก็เป็นเรื่องที่ผู้นั้นมีปฏิกิริยาแพ้ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเห็นได้ ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น บางคนใส่เลนส์สัมผัส (คอนแทคเลนส์) ใส่ได้ไม่ถึง 24 ชั่วโมง ตาแดงทั้ง 2 ข้าง คันตายุบยิบไปหมด นั่นก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ว่า แพ้เลนส์สัมผัส เช่นนี้ควรจะเลิกใส่ได้ ขืนใส่ต่อไปยิ่งอันตรายมาก หรือบางคนแพ้น้ำในสระลงว่ายน้ำครั้งใดคันตาทุกที อาจแพ้คลอรีนหรือสารที่ใส่ลงไปให้เกิดสีของน้ำ ไม่ทราบว่าถ้าเป็นน้ำในอ่างจะแพ้หรือเปล่า ?
⇒ อาการของโรคคันตา
อาการของผู้ที่แพ้สิ่งต่าง ๆ ดังกล่าว อย่างใดอย่างหนึ่ง จะทำให้มีอาการคันตาหรือขอบตา มีความรู้สึกอยากขยี้ ทั้งนี้เพราะ..“ยิ่งขยี้ ยิ่งมัน” เช่นเดียวกับโดนยุงกัด หรือผึ้งต่อยมา 3-4 วันแล้ว จะคันบริเวณนั้นจนอยากจะเกาและหยิกให้มันมือไปยังไงก็อย่างนั้นเชียวแหละ
นอก จากคันอันเป็นอาการอันแรกแล้ว ต่อมาจะพบบริเวณนั้น บวมและแดง ถ้าเป็นที่เยื่อตาขาวจะเห็นว่าบวม ย่น จนบางคนตกใจ เมื่อเห็นเยื่อตาขาวตัวเองบวมเต่งและย่น เมื่อเหลือบตาไปทางซ้ายหรือขวา อีกทั้งแดงเหมือนผิวมะเขือเทศสุก หรือเนื้อผมมะไฟสุก (จากการส่องกระจกเงาดูตาตัวเอง)ถ้า เป็นบริเวณขอบตาหรือเปลือกตา จะเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น คือบริเวณขอบตาจะบวมและหนาตัวขึ้นมา คันตรงตำแหน่งนั้นมาก ถ้าเป็นพวกแพ้ยาหยอดหรือเครื่องสำอาง หรือสารเคมีจะเป็นทั้ง 2 ข้าง ขอบตาหนาเป็นผื่นเห่อชัดเจน
⇒ การปฏิบัติตัวและการรักษา
1.ถ้า ทราบแน่ชัดว่าน่าจะแพ้อะไรค่อนข้างแน่นอน ให้หยุดการใช้สิ่งนั้นหรือเลี่ยงต่อสิ่งนั้นให้มากที่สุด แล้วกินยาแก้แพ้ ซึ่งอาจจะเป็นคลอร์เฟนิรามีน(ขนาด 4 มิลลิกรัม) 1 เม็ด 3 เวลาหลังอาหารแล้วนอนพัก ประมาณ 24 ชั่วโมงก็จะทุเลา
2.ถ้าภายหลัง 24 ชั่วโมง อาการไม่ดีขึ้นควรรับไปพบแพทย์ ปรึกษาดูว่ามีสาเหตุจากอะไรแน่
3.จะมีอยู่โรคหนึ่งที่เป็นหน้าร้อน และเป็นในเด็กอนุบาลหรือประถมต้นมากที่สุด (ตามสาเหตุข้อ 3.) พวกนี้จะคันตลอดเวลา คันที่เยื่อตาขาว เด็กจะขยี้จนตาแดง น้ำตาไหล เราเรียกโรคนี้ว่า..“โรคเยื่อตาอักเสบฤดูร้อน ” หรือภาษาแพทย์เรียกว่า Sumer Season Conjunctivitis พวกนี้ต้องได้รับการรักษาให้ถูกต้อง มิฉะนั้นเด็กจะคันมากและแดงตลอดเวลา น่ารำคาญ บิดา มารดา หรือผู้ปกครองเป็นทุกข์มาก
4.รู้สึกคัน พยายามเลี่ยงการขยี้ตา หรือถ้าอยากขยี้จนตัวสั่นก็ขยี้พอสมควร ไม่ควรขยี้จนเยื่อตาขาวบวมหรือเปลือกตาบวม จะทำให้รู้สึกตาพร่าได้จากแรงขยี้ เพราะแรงขยี้อาจจะทำให้กระจกตาบวมชั่วคราว
5. ใช้น้ำแข็งก้อนขนาด 3 x 4 มิลลิลิตร หรือขนาดน้ำแข็งหลอดห่อด้วยถุงพลาสติกเล็ก ๆ แล้วเอาผ้าเช็ดหน้าสะอาดห่อถุงพลาสติกอีกชั้นนำมาวางประคบลงบนเปลือกตาข้าง นั้น ความเย็นจากน้ำแข็ง (Clod compress)จะทำให้อาการคันและบวมทุเลาไปได้เกือบปลิดทิ้ง หรือถ้าใจร้อนจะเอาน้ำแข็งก้อนขนาดดังกล่าว วางแปะลงไปบนเปลือกตาเลยโดยตรงก็ได้ แต่จะทำให้ตาแฉะเพราะน้ำแข็งละลายเลอะใบหน้าไปหมด และอยู่ได้ไม่ทน
⇒ โรคคันตาอันตรายไหม
ขึ้น อยู่กับสาเหตุ ส่วนมากไม่มีอันตรายมากถึงขั้นตาพิการ ถ้าทราบแน่ชัดว่าแพ้อะไร และหยุดยั้งสิ่งนั้นได้ หรือสามารถให้ยาแก้แพ้ต่อสิ่งนั้นทันที
เคยพบเหมือนกันที่ว่า แพ้ตัวแมลงอะไรไม่ทราบ ทำให้กระจกตาดำเป็นแผลเกิดการอักเสบซ้ำซ้อน ในที่สุดตาพิการ แม้แต่คนไข้ที่โดนงูเห่าพ่นพิษเข้าบริเวณหน้าและเข้าตา ถ้ามารักษาเร็วและทราบว่าเป็นพิษงูยังพอรักษาให้หายได้ทัน
⇒ โรคแทรกซ้อนปกติ แล้ว โรคแทรกซ้อนจากการแพ้บริเวณเยื่อตาหรือเปลือกตาไม่ค่อยมี เว้นกรณีที่ปฏิบัติตัวไม่ถูกสุขลักษณะ อาจติดเชื้อซ้ำซ้อนได้จากแบคทีเรีย แต่กระนั้นก็ตามที ถ้ามาปรึกษาแพทย์ก็สามารถช่วยให้ยารักษาโรคแทรกซ้อนได้ ถ้าไม่รุนแรงเกินไปจนทำให้กระจกตาดำเป็นแผลและมีหนองดังที่ได้ยก
ตัวอย่างแล้ว
โรค คันตาที่เกิดจากการแพ้แบบเฉียบพลันต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเป็นอยู่ชั่วคราว เท่านั้น ผิดกับโรคเยื่อตาคันจากฤดูร้อน พวกนี้จะคันตลอดช่วงหน้าร้อน พ้นหน้าร้อนอาการจะหายไป
วิตามินบี ส่วนใหญ่ได้มาจากอาหารประเภท

วิตามินบี 5 พบมากที่สุดในตับ รองลงมาได้แก่ เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา ถั่ว เมล็ดธัญพืช ไข่แดง บริวเวอร์ยีสต์ เป็นต้น
http://th.answers.yahoo.com/question/index?qid=20080523182039AAF2eXx
วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553
เทคนิคอ่านหนังสือยังไง...ไม่ให้ง่วง

วันนี้ S!Campus มีวิธีทำความเข้าใจกับปัญหาและแก้ปัญหามาให้น้องๆ หวังว่าคงเป็นประโยชน์กับน้องๆบ้าง *-*
1. บรรยากาศรอบตัว ใครว่าบรรยากาศรอบๆตัวไม่มีผล(ขอเถี่ยง) จริงๆจากการศึกษาเขาว่ากันว่าบรรยากาศมีส่วนมากๆที่จะทำให้เราง่วง เช่น บางคนชอบอ่านหนังสือในที่มีแสงสว่างน้อย หรือแสงไฟสลัวๆ ซึ่งจริงๆแล้ว การอ่านหนังสือในที่มีแสงไม่เพียงพอจะทำให้สายตาเราทำงานหนักขึ้นและเมื่อย ล้าได้ง่าย ทำให้เมื่ออ่านไปได้สักระยะเราก็จะง่วง ดังนั้นน้องๆควรหาที่อ่านหนังสือที่มีแสงสว่างเพียงพอ
2. สถานที่ในการอ่านหนังสือ ใครว่าสถานที่ไม่สำคัญ น้องๆสังเกตบ้างหรือเปล่า ทำไมเราอ่านหนังสือในสวนหรือนอกบ้านเราจะไม่ค่อยรู้สึกง่วงสักเท่าไหร่ แต่เมื่อไหร่ที่อ่านหนังสือบนเตียงเป็นอันต้องหลับทุกที ก็บรรยากาศเป็นใจอ่ะเนอะ อิอิ ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการอ่านบนเตียงนอนโดยเด็ดขาด ถ้าไม่อยากสอบตก -*-
3. การพักผ่อน น้องๆหลายคนติดนิสัยนอนดึกนอนดื่นซะจนชิน (เนื่องจากติดละครหรืออะไรก็แล้วแต่) รู้ไหมการนอนดึกมีส่วนมากๆที่จะทำให้เราง่วง เพราะถ้าตอนกลางคืนเรานอนไม่เพียงพอในช่วงกลางวันร่างกายต้องการการผักผ่อน จึงส่งผลให้น้องๆหลายคนเกิดอาการง่วง รู้อย่างนี้แล้วอย่าลืมนอนหลับผักผ่อนแต่หัวค่ำนะ
4. เบื่อ ความเบื่อนำมาซึ่งความง่วง ถ้าไม่อยากเบื่อ อยากง่วงลองแบ่งเวลาในการอ่านหนังสือดู วันละกี่นาที กี่ชั่วโมงก็ว่ากันไป อย่าอ่านวิชาใดวิชาหนึ่งนานๆ เพราะอาจนำมาซึ่งความเซ็ง -*- ถ้าเรารู้จักแบ่งเวลาคิดว่าน่าจะตัดความเบื่อลงไปได้บ้าง
ฝากไว้ 4 ข้อและกัน หวังว่าคงจะเป็นประโยขน์กับน้องๆบ้างไม่มาก็น้อย
http://campus.sanook.com/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87-924155.html
วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553
สิวบอกโรค บอกอารมณ์และโรคร้าย

สิวบอกโรค
ตำแหน่งสิว บนผิวหน้า บ่งบอกอารมณ์และโรคร้ายได้อย่างคาดไม่ถึง (ไทยโพสต์)
สีหน้าและแววตา ใช้สื่อถึงความรู้สึกและอารมณ์ต่างๆ ได้ แต่ผิวหน้าของคนเราก็สามารถสื่อถึงสุขภาพภายในร่างกายได้เหมือนกัน
วิธีการสังเกตถึงสุขภาพภายในร่างกายของเราหรือของคนใกล้ตัวเรานั้น ด้วยศาสตร์ใหม่จากการวิเคราะห์สภาพผิว Face Mapping กระบวนการพิสูจน์และวิเคราะห์สภาพผิวด้วยศาสตร์ตะวันออก ซึ่งเป็นหนึ่งในปรัชญาความคิดเบื้องต้นที่ว่า "ผิวหน้าสามารถบ่งบอกได้ถึงสุขภาพภายในร่างกายที่มีผลกระทบต่อผิวพรรณ" ทำให้เข้าใจได้ถึงสาเหตุการเกิดปัญหาสุขภาพผิว
ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพผิว จากศูนย์สุขภาพผิวเลียวนาร์ด เดรก ได้นำเสนอแนวทางการป้องกันโดยมีหลักในการวิเคราะห์สภาพผิวแบบ Face Mapping นั้นจะเป็นการวิเคราะห์สภาพผิวที่ละเอียดกว่าการวิเคราะห์ผิวโดยทั่วไป โดยแบ่งส่วนใบหน้า ลำคอ และแผ่นอกออกเป็น 4 โซน

สิวบอกโรค
สิวบอกโรค : โซนที่ 1 และโซนที่ 3 ถ้ามีปัญหาสิวบริเวณนี้ คุณอาจมีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร ดังนั้นอาจต้องดื่มน้ำมากขึ้นหรือทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
สิวบอกโรค : โซนที่ 2 สิวบริเวณหว่างคิ้ว เกี่ยวกับตับ อาจมีปัญหาในการย่อยแลคโทส (ดื่มนมไม่ได้) การทานอาหารรสจัดหรือทานอาหารดึกเกินไป
สิวบอกโรค : โซนที่ 4 และโซนที่ 10 ผิวบริเวณหูนี้เป็นผลพวงของไต หากรู้สึกร้อนที่หู คุณอาจต้องลดการรับประทานเนื้อสัตว์ลง
สิวบอกโรค : โซนที่ 5 และโซนที่ 9 บริเวณแก้มทั้งสองด้าน โดยแก้มส่วนบนจะเกี่ยวข้องกับไซนัสและปอด ส่วนแก้มส่วนล่าง เหงือกและฟัน สาเหตุอาจเป็นเพราะสูบบุหรี่จัด หรือแพ้ควันบุหรี่ ภูมิแพ้ เป็นหวัดเรื้อรัง หรืออาจใช้บลัชออนและรองพื้นไม่เหมาะสม ถ้าเป็นริ้วรอยลึกบริเวณโหนกแก้มอาจบ่งบอกถึงปัญหาเรื่องปอดหรือการหายใจ ถ้ามีสิวแบบเป็นๆ หายๆ ที่แก้มด้านล่างอาจมีปัญหาเรื่องเหงือกและฟัน หรือโทรศัพท์มือถือไม่สะอาด
สิวบอกโรค : โซนที่ 6 และโซนที่ 8 ตำแหน่งรอบดวงตาทั้ง 2 ข้าง เกี่ยวข้องกับไต และปัญหาภูมิแพ้ สาเหตุมาจากเครื่องสำอางที่ใช้อยู่ อาจไม่เหมาะสม หรือใส่แว่นตาที่เสียดสีมาก รอยคล้ำอาจเกิดจากการมีสารพิษตกค้างในร่างกายมาก หรือพักผ่อนน้อย เปลือกตาหากมีความระคายเคือง อาจมาจากการเป็นภูมิแพ้ หรือขาดสารอาหาร
สิวบอกโรค : โซนที่ 7 ผิวบริเวณจมูกและริมฝีปาก แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หากมีสิวบริเวณนี้อาจหมายถึงผลกระทบของการตั้งครรภ์ การมีประจำเดือน การรับประทานยาคุมกำเนิด
สิวบอกโรค : โซนที่ 11 และโซนที่ 13 หากผิวบริเวณนี้แตกระแหง สามารถบอกได้ว่าคุณกำลังมีปัญหาของฟันกราม หรือปัญหาเกี่ยวกับฟัน
สิวบอกโรค : โซนที่ 12 สิวเรื่อๆ บริเวณคางนี้ สามารถบ่งบอกได้ว่าคุณกำลังมีปัญหาเรื่องลำไส้เล็ก ที่มีผลจากการรับประทานของเผ็ด
สิวบอกโรค : โซนที่ 14 หากคุณมีสิวบริเวณนี้แล้วล่ะก็ แสดงว่าคุณกำลังเครียดสูง
นี่เป็นเพียงแค่รายละเอียดเพียงเล็กน้อยของการวิเคราะห์สภาพผิวหน้าที่ทำให้ รู้ได้ถึงสุขภาพภายในร่างกาย ซึ่งจะทำให้เราทราบได้ว่าจะต้องดูแลบำรุงทั้งสุขภาพภายในและภายนอกอย่างไร เพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพียงแค่นี้คุณก็จะมีทั้งสีหน้า แววตาและผิวพรรณที่เป็นสุขได้แล้ว
ว่าด้วยเรื่องข้าวกล้องล้วน ๆ

พูดถึงข้าวกล้องกันมากหลายที แต่ก็ยังคงมีคำถามค้างคาใจว่าข้าวกล้องคือข้าวอะไรแน่ ที่ว่าดีนั้นดีอย่างไร และจะทำอย่างไรให้ดีด้วย อร่อยด้วย งั้นเราลองมาคุยกันเรื่องข้าวกล้องอีกสักทีดีไหมครับ
ข้าวกล้อง เป็นข้าวพันธุ์ใดก็ได้ที่ขัดสีเพียงครั้งเดียว ทำให้ยังคงมีจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว (รำ) อยู่มาก ซึ่งจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวนี่เองที่ทำให้กล้องมีคุณประโยชน์พิเศษ คือนอกจากจะมีคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมันอิ่มตัวแล้ว ยังมีสารอาหารเหล่านี้อยู่สูงอีกด้วย
*วิตามินบี 1 ช่วยป้องกันโรคเหน็บชาและช่วยในการทำงานของระบบประสาทในการบังคับกล้ามเนื้อ
*วิตามินบี 2 ช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอกและช่วยในการเผาผลาญอาหาร
*ไนอะซิน ช่วยในการทำงานของระบบผิวหนังและระบบประสาท
*แคลเซียม ฟอสฟอรัส ที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของกระดูก และเหล็กซึ่งช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบเลือด
*เส้นใยอาหาร ทำให้ขับถ่ายสะดวก และป้องกันการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
แต่แม้จะมีคุณค่าทางอาหารดีเพียงใดหากรสชาติไม่ถูกปากซะอย่างเดียว หลายบ้านก็คงจะไม่ต้อนรับเข้าเป็นอาหารหลักประจำบ้านหรอก จริงไหมครับ ซึ่งถ้าจะให้อร่อยคงคุณค่านั้น ต้องเริ่มจากวิธีเลือกซื้อหุง และเก็บรักษากันเลย
วิธีเลือกซื้อและเก็บรักษาข้าวกล้อง
*เลือกข้าวที่ไม่มีรอยแหว่งตรงปลายเมล็ดข้าว เพราะหากมีรอยแหว่ง แสดงว่าจมูกข้าวซึ่งเป็นส่วนที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลุดไป
*เมล็ดข้าวควรเป็นสีขุ่น หรือมีสีน้ำตาลปนมากน้อยแล้วแต่พันธุ์ข้าว หากมีสีเขียวอ่อนติดอยู่ แสดงว่าเป็นข้าวที่เก็บเกี่ยวมาใหม่ และส่วนของเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวซึ่งเป็นเส้นใยอาหารยังไม่ถูกขัดสีทิ้งไป อันนี้จะยิ่งดีครับ
การสังเกตว่าสีเขียวที่เมล็ดข้าวเป็นสีเขียวจากราหรือข้าวที่เก็บเกี่ยวมา ใหม่ ให้สังเกตว่า หากเป็นราจะมีลักษณะเป็นปุย ๆ ซึ่งเป็นสปอร์ของราครับ แต่ถ้าเป็นสีขาวของข้าวที่เก็บเกี่ยวใหม่ ๆ จะเป็นสีเขียวเหมือนสีใบไม้อ่อน ๆ และเคลือบอยู่บาง ๆ ที่ผิวของเมล็ดข้าว
*เลือกข้าวที่ตากหรืออบจนแห้งสนิทไม่มีกลิ่นอับชื้น ขึ้นรา หรือมีมอด
*เลือกซื้อข้าวที่บรรจุในถุงที่สะอาดปิดสนิท ระบุสถานที่ผลิตและราคาจำหน่าย
*การซื้อมาบริโภค ควรซื้อในปริมาณที่สามารถบริโภคได้หมดภายใน 2-3 สัปดาห์
*อาจเก็บไว้ในตู้เย็น หรือหากไว้นอกตู้เย็นก็ควรเก็บในภาชนะที่สะอาด ปิดมิดชิด อาจใส่พริกหรือใบมะกรูดลงไปในข้าว เพราะสารระเหยจากพริกหรือใบมะกรูดจะช่วยป้องกันมอดและแมลงได้ครับ
วิธีหุงแสนง่าย
หลายคนยังติดว่าข้าวกล้องเป็นข้าวที่ค่อนข้างแข็ง หุงยาก ใช้เวลานาน แต่ความจริงแล้วข้าวกล้อง หุงง่ายมากครับ แค่เก็บสิ่งสกปรกออกแล้วซาวน้ำเร็ว ๆ เพียงครั้งเดียว เพื่อรักษาคุณค่าไม่ให้วิตามินในข้าวละลายไปกับน้ำ และไม่ต้องแช่ข้าวทิ้งไว้ จากนั้นใส่น้ำในปริมาณข้าว 1 ส่วนต่อน้ำ 2 ส่วน นึ่งในลังถึงหรือใช้หม้อหุงข้าวไฟฟ้าก็ได้
พิเศษยิ่งขึ้น หากหุงด้วยการนึ่งสามารถเพิ่มความหอมจากกลิ่นหม้อดินด้วยการใช้ถ้วยดินเผา ใส่ข้าวสารที่ล้างสะอาดแล้วลงไปประมาณครึ่งถ้วย จุ่มนิ้วชี้ลงไปที่ก้นถ้วย เติมน้ำจนถึงประมาณข้อแรกของนิ้วชี้ หรือมากกว่าหากชอบรับประทานข้าวนิ่ม การนึ่งในถ้วยจึงดีตรงที่สามารถหุงข้าวแต่ละถ้วยให้แข็งหรือนุ่มได้ครบตาม ความชอบของสมาชิกในครอบครัว เพราะนึ่งแต่ละคราวได้หลายถ้วย
ที่มาhttp://health.kapook.com/view3993.html
ผักเพื่อสุขภาพ แก้ปวดฟัน ต่อกระดูก แก้อักเสบ

ผัก คราดหัวแหวนเป็นสมุนไพรที่ชอบขึ้นในที่แฉะๆ พบได้ทุกภาคของประเทศไทย ผักคราดหัวแหวนจัดว่าเป็นสมุนไพรดอกสวย ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับได้ดี บางคนเรียกผักคราดหัวแหวนว่า ดอกกระดุมทอง ดอกตุ้มหู บ้าง เพราะดอกผักคราดหัวแหวนดูๆ ไปก็คล้ายหัวแหวนสีทอง บางคนก็บอกว่าคล้ายกระดุมทอง ดูอีกทีก็เหมือนตุ้มหูสีทอง ผักคราดหัวแหวนจึงถูกเรียกกันหลายชื่อ แล้วแต่ว่าใครจะคิดถึงเครื่องประดับชนิดไหน
ผักคราดหัวแหวนเป็นสมุนไพรที่เคยรับรู้มาตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา เภสัชศาสตร์ว่า เป็นสมุนไพรแก้ปวดฟัน มีฤทธิ์เป็นยาชาด้วยสารที่ชื่อ Spilanthol และเมื่อจบออกมาทำงานที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้ทำสวนสมุนไพรเล็กๆ และได้นำผักคราดหัวแหวนมาปลูกไว้ เมื่อมีคนมาดูงานก็มักจะให้ทดลองกัดดอกของผักคราดหัวแหวนไว้ที่ฟัน แล้วจึงค่อยบอกว่าผักคราดหัวแหวนมีสรรพคุณเป็นยาชา ถึงตอนนั้นปากของเขาก็ชาไปแล้ว เป็นวิธีการให้คนเข้าถึงสมุนไพรอีกวิธีหนึ่ง
เมื่อก่อนที่จะได้พบพ่อเม่ากับคุณตาส่วนนั้นไม่เคยรู้เลยว่า ผักคราดหัวแหวนกินเป็นผักได้ โดยจะกินยอดอ่อน ใบอ่อน แกล้มน้ำพริก แกล้มลาบ และเมื่อเดินทางไปตามหาสมุนไพรแถวๆ ทางเหนือ ทั้งลำปาง เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน พบผักคราดหัวแหวนวางขายเป็นกองๆ อยู่ในตลาดสดมากมาย จนพอจะเดาได้ว่า แถบนี้คงมีการปลูกผักคราดหัวแหวนเป็นพืชผักเศรษฐกิจแน่ๆ ซึ่งต่อมาทราบว่าคนทางเหนือจะเอาผักเผ็ดไปแกงแค คนอีสานจะเอาไปใส่อ่อมปลา อ่อมกบ ส่วนคนทางใต้จะนำผักคราด ไปแกงร่วมกับหอยและปลา รสเผ็ดชาลิ้น หวานๆ ขมๆ
ตอนแรกก็สงสัยอยู่บ้างว่าทำไมคนจึงต้องไปกินผักที่มีรสชาติประหลาดที่ สุด ชนิดหนึ่ง (จะเป็นรองก็คงผักคาวตอง) เมื่อได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูลทางเอกสารจึงทราบว่า ผักคราดหัวแหวนช่วยกระตุ้นให้น้ำลายออกมามาก ช่วยให้การย่อยอาหารในปากและกระเพาะอาหารดีขึ้น และยังช่วยรักษาอาการต่อมน้ำลายอักเสบได้ด้วย การกระตุ้นต่อมน้ำลายนั้นยังช่วยกระตุ้นระบบน้ำเหลืองจึงทำให้ระบบภูมิคุ้ม กันดีขึ้น สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ได้ดีขึ้น ที่น่าทึ่งไปกว่านั้นคือสาร Spilanthol มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อปรสิตที่อยู่ในกระแสเลือด เช่น เชื้อมาลาเรีย โดยไม่มีพิษต่อคน ดังนั้น จึงมีแนวโน้มว่าการกินผักคราดหัวแหวนจะสามารถป้องกันมาลาเรียได้ และการที่ผักคราดหัวแหวนมีรสเผ็ดร้อนจึงช่วยในการขับลม รักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ได้อีกด้วย
ผักคราดหัว แหวน…หมอฟันจำเป็น ที่คนทั้งโลกก็รู้
ใครๆ ที่รู้จักผักคราดหัวแหวนต่างก็รู้ดีว่าผักคราดหัวแหวนแก้ปวดฟัน หมอยาไทยใหญ่ ทั้งในฝั่งรัฐฉานและในฝั่งไทย หมอยาไทยเลย หมอยาภาคใต้ และหมอยาภาคกลาง ต่างก็ใช้ผักคราดหัวแหวนเป็นยาแก้ “แมงกินฟัน” (หมอยาพื้นบ้านทุกภาคมีความเชื่อตรงกันว่าการที่ฟันผุนั้นมีพยาธิที่มักจะ เรียกกันว่า “แมงกินฟัน” เป็นตัวการทำให้ฟันผุและปวดฟัน) โดยจะใช้เฉพาะดอกขยี้ใส่หรือใช้ทั้งห้าตำผสมเกลือ คั้นเอาน้ำใส่ซอกฟันที่กำลังปวดจะทำให้หายปวดฟัน ทั้งนี้เพราะผักคราดหัวแหวนมีฤทธิ์เป็นยาชาและมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ อย่างกว้างขวางจึงทำให้ผักคราดหัวแหวนสามารถใช้แก้ปวดฟันได้ในยามที่ไม่มี หมอฟัน ในหลายประเทศผักคราดหัวแหวนมีฉายาว่า Toothache Plant ซึ่งหมายถึงการใช้เป็นยาแก้ปวดฟันเช่นเดียวกับบ้านเรา
นอกจากจะใช้เป็นยาแก้ปวดฟันตามที่กล่าวมาแล้ว ยังมีการนำรากมาต้มเอาน้ำบ้วนปาก แก้อาการอักเสบในช่องปาก แก้เหงือกอักเสบ และแก้เจ็บคอได้อีกด้วย
ผักคราดหัว แหวน…ยารักษากระดูกหัก
ยาห้ามเลือด รักษาแผล
ผักคราดหัวแหวนเป็นยาทำให้กระดูกต่อกันได้ การใช้ผักคราดหัวแหวนในการรักษากระดูกหักนั้นไม่เคยพบที่ไหน จนกระทั่งไปพบกับหมอยาไทยใหญ่ ซึ่งชุมชนไทยใหญ่ยังมีปัญหากระดูกแตกกระดูกหักกันอยู่มากและส่วนหนึ่งยังไม่ ศรัทธาการรักษากระดูกหักตามระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน ตำรับหนึ่งที่เขาใช้รักษากระดูกหัก กระดูกแตกคือการใช้ผักคราดหัวแหวนตำรวมกับตะไคร้พอกกระดูกไว้ เปลี่ยนยาทุก ๖ วัน ครบ ๔๑ วัน กระดูกจะต่อกันติด ซึ่งอาจเป็นเพราะผักคราดหัวแหวนมีฤทธิ์ร้อนทำให้เลือดมาเลี้ยงบริเวณนั้นมาก ขึ้น ทั้งยังมีฤทธิ์แก้อักเสบ จึงอาจช่วยเรื่องกระดูกหักได้ ผักคราดหัวแหวนยังเป็นยาห้ามเลือดที่ดีชนิดหนึ่งเมื่อมีบาดแผล ชาวบ้านจะขยี้หรือตำต้นสดพอกแผลเลือดจะหยุดไหล
ผักคราดหัว แหวน…ยาแก้ปวดตามกระดูกและกล้ามเนื้อ
ยารักษาอัมพฤกษ์ อัมพาต เหน็บชา
หมอยาพื้นบ้านหลายพื้นที่ยังนิยมใช้ผักคราดหัวแหวนเป็นยาแก้ปวดเมื่อย ตาม ร่างกาย ปวดกระดูก ปวดกล้ามเนื้อ แก้ปวดบวม ฟกช้ำ โดยตำทั้งต้นใส่น้ำพอชุ่มพอกบริเวณที่ปวดบวม ฟกช้ำ จะระงับอาการปวดบวมและแก้อักเสบได้ สำหรับคนที่เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต เหน็บชา จะใช้ผักคราดหัวแหวนกับพริกไทย หัวอุตพิด ในอัตราส่วนเท่าๆ กันผสมน้ำมันพืชทา หรือจะใช้ผักคราดหัวแหวนกันสมุนไพรที่มีรสร้อนตัวอื่นๆ เช่น ข่า ไพล ตะไคร้ ก็ได้ ขึ้นกับว่าในท้องถิ่นมีสมุนไพรอะไรอยู่ หรือใส่ในยาอบร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นเพื่อแก้ปวดเมื่อย แก้ปวดตามข้อก็ได้
ผักคราดหัว แหวน…ยาสำหรับผู้หญิง
ผักคราดหัวแหวนเป็นยาแก้ปวดประจำเดือนที่ดีชนิดหนึ่ง โดยจะคั้นน้ำจากต้นสดของผักคราดหัวแหวนผสมน้ำผึ้งรับประทาน ส่วนหมอยาพื้นบ้านภาคใต้จะใช้ต้นสดของผักคราดหัวแหวน ผสมน้ำมะนาวทำเป็นลูกกลอนขนาดเท่าเม็ดพุทรา กินครั้งละ ๑ เม็ดหลังอาหาร ผักคราดหัวแหวนยังนิยมใช้ใส่ในยาอบหรือยาอาบหลังคลอดโดยใช้ร่วมกับใบหนาด ใหญ่และใบมะขาม เพื่อบำรุงเลือดลมสตรีให้ทำงานเป็นปกติ
พ่อหมอยาบอกว่าผักเผ็ดที่มีฤทธิ์ดีในการนำมาทำยานั้นควร เป็นผักเผ็ดที่ขึ้นตามธรรมชาติ
คุณค่าทางยาพื้นบ้าน
มีสรรพคุณเป็นอาหารบำรุงธาตุหญิงหลังคลอด และมีอาการวิงเวียนศีรษะ
ที่มา : thrai.sci.ku.ac.th
10 ข้อแนะนำการใช้ยา

10 ข้อแนะนำการใช้ยา (ธรรมลีลา)
เภสัชกรมนตรี สุวณิชย์ ฝ่ายเภสัชกรรม รพ.ศิริราช มีข้อแนะนำการใช้ยาดังนี้
1. ยาก่อนอาหาร กินก่อนอาหารครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง ยกเว้นยาบางชนิดที่มีข้อแนะนำพิเศษ
2. ยาหลังอาหาร กินหลังอาหารสิบห้านาทีถึงครึ่งชั่วโมง
3. ยาหลังอาหารทันที ให้กินหลังอาหารทันที เช่น ยาลดอาการอักเสบปวดข้อหรือกล้ามเนื้อ
4. ยาพร้อมอาหาร กินพร้อมอาหารในมื้อนั้น ๆ
5. ยาผงผสมน้ำกินฆ่าเชื้อสำหรับเด็ก หลังจากผสมน้ำแล้วไม่ควรใช้เกิน 7 วัน ขณะที่ไม่ใช้ยา ควรเก็บยาในตู้เย็นชั้นใต้ช่องแช่แข็งลงมา ห้ามเก็บไว้ในช่องแช่แข็ง
6. ยาหยอดตา หลังเปิดใช้แล้วจะเก็บไว้ได้ไม่เกิน 1 เดือน โดยทั่วไปจะเก็บในตู้เย็นชั้นใต้ช่องแช่แข็งลงมา ห้ามเก็บในช่องแช่แข็ง
7. ยาป้ายตา หลังเปิดใช้แล้วจะเก็บไว้ได้ไม่เกิน 1 เดือน ในอุณหภูมิห้องปกติ
8. ยาเก็บในตู้เย็น เก็บในอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส หรือชั้นใต้ช่องแช่แข็งลงมา ห้ามเก็บในช่องแช่แข็ง
9. การเก็บรักษายาทั่วไป ควรเก็บไว้ในที่แห้ง และพ้นจากแสงแดด
10. อาการแพ้ยา หากกินยาแล้วมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น เช่น มีผื่นคันตามตัว มีจ้ำที่ผิวหนัง หน้ามืด แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หรือใจสั่น ให้หยุดยา และมาปรึกษาแพทย์ทันที
ยา

ปลอดโรค ด้วยกิจวัตร อาหารยา Clock Food, Daily Eat (Twenty-Four Seven)
ความ เที่ยงตรงของเข็มนาฬิกาและสุขภาพแข็งแรง เกิดขึ้นได้ด้วยสิ่งเดียวกัน นั่นคือการทำงานที่มีประสิทธิภาพ สมดุล จากฟันเฟืองภายใน ดังนั้น หากคุณอยากมีลาภอันประเสริฐ ด้วยสุขภาพสมบูรณ์ ปลอดโรคภัย นี่คือ 10 ความเจ็บป่วยที่ป้องกันได้ด้วยอาหารยา ที่ควรกินในทุกวันให้เป็นกิจวัตร
ปวดศีรษะ
อาหารยา : ปลา , ขิง
สรรพคุณที่ควรรับประทานทุกวัน : น้ำมันในเนื้อปลาช่วยป้องกันอาการปวดหัว โดยเฉพาะถ้าเป็นปลาทูน่า, แมคคาเรล,แซลมอน, ซาร์ดีน ยังช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันร่างกายด้วย และจะดีมากถ้ามีขิงร่วมด้วย เพราะจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบรรเทา และลดการติดเชื้อไวรัส
หลอดเลือดอุดตันจากการดื่มชา
อาหารยา : ชาเขียว
สรรพคุณที่ควรรับประทานทุกวัน : เปลี่ยนจากดื่มชาชนิดต่าง ๆ มาดื่มเฉพาะชาเขียวที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ และเสริมความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกัน
นอนไม่หลับ
อาหารยา : น้ำผึ้ง
สรรพคุณที่ควรรับประทานทุกวัน : ในน้ำผึ้งประกอบด้วยสารชีวภาพที่ช่วยระงับความฟุ้งซ่าน และระงับประสาท เสริมความสงบ
แน่นหน้าอก
อาหารยา : หอมหัวใหญ่
สรรพคุณที่ควรรับประทานทุกวัน : หัวหอมใหญ่มีน้ำมันหอมระเหย และสารที่ช่วยขยายระบบหลอดลม ลดอาการแน่นหน้าอก และหน้ามืดเป็นลม
การบำบัดในช่วงเป็นหวัดคือ ใช้หัวหอมฝานบาง ๆ ใส่ถุงตาข่ายประคบช่วงหน้าอก จะช่วยบรรเทาอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล
คลื่นเหียนวิงเวียน
อาหารยา : กล้วย,ขิง
สรรพคุณที่ควรรับประทานทุกวัน : กล้วยช่วยลดอาการบีบรัดลำไส้ ส่วนขิงช่วยลดไข้และอาการคลื่นเหียน
กระเพาะปัสสาวะติดเชื้อ
อาหารยา : น้ำแครนเบอร์รี่
สรรพคุณที่ควรรับประทานทุกวัน : ในน้ำแครนเบอร์รี่มีกรดต่อต้านแบคทีเรีย
กระดูกเปราะพรุน
อาหารยา : สับปะรด
สรรพคุณที่ควรรับประทานทุกวัน : ในสับปะรดมีสารแมงกานีส ช่วยป้องกันโรคกระดูกเปราะ กระดูกพรุน
ระบบความจำ
อาหารยา : หอยนางรม
สรรพคุณที่ควรรับประทานทุกวัน : หอยนางรมอุดมด้วยอินทรียสาร สังกะสีช่วยเสริมประสิทธิภาพในระบบความจำและสมอง
มะเร็งในทรวงอก
อาหารยา : กะหล่ำปลี,ข้าวสาลี, รำและจมูกข้าว
สรรพคุณที่ควรรับประทานทุกวัน ในผักเหล่านี้เป็นแหล่งรวมฮอร์โมนพืช ที่มีคุณสมบัติเหมือนฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิง ช่วยเสริมสมดุลการทำงานของร่างกาย และลดความเสี่ยงโรคจากต่อมใต้สมอง
ความดันโลหิต
อาหารยา : ขึ้นฉ่าย,น้ำมันมะกอก
สรรพคุณที่ควรรับประทานทุกวัน : สารประกอบในอาหารจำพวกนี้ช่วยลดความดันในระบบไหลเวียนโลหิต
ความดันสูง-ต่ำไม่สมดุล
อาหารยา : บร็อกโคลี,ถั่วลิสง
สรรพคุณที่ควรรับประทานทุกวัน : ในบร็อกโคลีและถัวลิสง มีสารโครเมียม ช่วยเพิ่มอินซูลินในการควบคุมความสมดุลน้ำตาลในระบบเลือด
มะเร็งปอด
อาหารยา : ส้ม, ผักสีเขียวและเหลือง
สรรพคุณที่ควรรับประทานทุกวัน : ในผักผลไม้สีส้ม, เหลือง และผักใบสีเขียวเข้มอุดมด้วยเบต้าแคโรทีน ช่วยเยียวยาปอดและระบบฟอกโลหิต
70% ของการไม่สบายและโรคภัย เกิดจากการปล่อยปละละเลย และไม่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ ดังนั้น...อย่าให้ความไม่ใส่ใจทำให้ความแข็งแรงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำได้ง่าย ๆ ในกิจวัตรประจำวัน ลุกลามเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตเลย
แค่เริ่มจัดระเบียบการกินตั้งแต่วันนี้ ทุกคนก็สร้างเหตุแห่งลาภอันประเสริฐได้ โดยไม่ต้องอธิษฐาน
วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553
ประโยชน์ในการใช้งาน ด้านการศึกษา
• ยกระดับมาตรฐานการศึกษาของนักเรียนและสถานบันการศึกษาทั่วประเทศ
• กระจายความเจริญและทรัพยากรทางด้านการศึกษาไปทุกพื้นที่ หรือจังหวัดที่ห่างไกล
• เปิดโลกยุคโลกาภิวัฒน์ทางด้านการศึกษาของเยาวชนไทยให้กว้างขึ้น
• แหล่งข้อมูลที่ได้จากเครือข่ายอินเตอร์เน็ตจะมาจากแหล่งข้อมูลจริงและทันต่อเหตุการณ์
• สร้างความเท่าเทียมกันทางการศึกษา ที่ทุกพื้นที่สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้ ด้านธุรกิจ
• สร้างภาพพจน์ของความเป็นผู้นำให้แก่กลุ่มธุรกิจ หรือบริษัทฯ ในเครือ
• ได้รับความรวดเร็วในการติดต่อสื่อสารขององค์กร ที่จะรับ-ส่ง ไฟล์ข้อมูลต่างๆ ทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว , E-mail
• ข้อมูลบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตมีความหลากหลายและกว้างขวาง ทำให้การประกอบธุรกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
• เพิ่มการให้บริการที่ดีรวดเร็ว แก่ลูกค้าขององค์กรในปัจจุบัน
• เพิ่มช่องทางการนำเสนอผลิตภัณฑ์ ของผู้ใช้บริการแก่สาธารณชน รวมทั้งการนำเสนอเพื่อกระจายข้อมูลไปยังทั่วโลกได้
• เพิ่มช่องทางการตลาดของสินค้าที่กว้างมากยิ่งขึ้น
• สามารถประกอบธุรกิจแบบเรียลไทม์ เช่น การตัดหักชำระค่าบริการผ่านอินเตอร์เน็ตจากบัตรเครดิตต่างๆ ได้
• ค่าใช้จ่ายในการสื่อสารต่ำ เมื่อเทียบกับการใช้ โทรสาร หรือ โทรศัพท์
• ส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
• ประหยัดทรัพยากรที่มีคุณค่า
• สนับสนุนให้ประชากรมีทักษะในด้านคอมพิวเตอร์เพิ่มมากขึ้น
• เพิ่มทางเลือกในการนำเสนอข้อมูลและเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา
รูปแบบเครือข่ายการให้บริการ

ภาพแสดงเครือข่ายการให้บริการ Two ways Broadband Internet
บริการ ของ iPSTAR สำหรับองค์การบริหารส่วนตำบล รูปแบบการใช้งานของบริการ iPSTAR 1. ให้บริการบรอดแบรนด์อินเตอร์เนต (Broadband Internet) ที่มีประสิทธิภาพสูง ด้วยความเร็วที่ 256/128 Kbps แบบไม่จำกัดเวลาการใช้งาน (Unlimited) 2. ออกแบบเพื่อสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการประชุมทางไกลด้วยภาพผ่านดาวเทียมได้ (VDO Conference ) 3. สามารถให้บริการทางด้านโทรศัพท์ผ่านดาวเทียม โดยใช้เทคโนโลยี Voice Over Internet Protocal (VOIP) วัตถุประสงค์
• สนับสนุนภารกิจขององค์การบริหารส่วนตำบล ในการให้บริการอินเตอร์เนตสาธารณะกับประชาชน
• รับ-ส่งข้อมูล , ข่าวสารได้รวดเร็ว , แม่นยำและมีประสิทธิภาพ
• เชื่อมโยงโครงข่ายการสื่อสารข้อมูลได้ทั่วประเทศ / ทั่วโลก
• แบ่งปันทรัพยากร ( Bandwidth ) ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
จุดเด่นของบริการ iPSTAR สำหรับองค์การบริหารส่วนตำบล
• ให้บริการอินเตอร์เนตกับประชาชนตามนโยบายรัฐบาล
• รับส่งข้อมูลกับส่วนงานกลางและหน่วยอื่นๆได้สะดวกรวดเร็ว รวมทั้งสามารถเข้าถึงข้อมูลของหน่วยงานย่อยต่างๆ ได้ในทุกพื้นที่ของกระทรวง ลักษณะการทำงาน เป็นการให้บริการอินเทอร์เน็ต ความเร็วสูง ที่มีรูปแบบการเชื่อมต่อ แบบ เดียวกัน กับการเชื่อมต่อผ่านสื่อ แบบคู่สายเช่า (Leased Line) แต่เปลี่ยน มา ใช้สื่อเชื่อมต่อด้วยอุปกรณ์ และช่องสัญญาณดาวเทียมแทน และใช้ บริการ ที่คุณภาพใกล้เคียงกัน ซึ่งถือเป็น อีกทางเลือกหนึ่ง สำหรับ กลุ่ม ลูกค้าที่ต้องการ ใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ห่างไกล หรือบริการ แบบคู่สายเช่าไปไม่ถึง สามารถขอใช้บริการ ได้ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ กลุ่มเป้าหมาย
• บริการอินเตอร์เนตสำหรับองค์การบริหารส่วนตำบล
การ นำ iPSTAR มาประยุกต์ใช้ 1. การประชุมทางไกลผ่านดาวเทียม : iPSTAR for Video Conferencing (VDC) การประชุมทางไกลด้วยภาพผ่านดาวเทียม (Video Conference : VDC ) จัดเป็นการประยุกต์ใช้งานที่สำคัญอย่างหนึ่งในการให้บริการบรอดแบรนด์ ระบบ iPSTAR ทั้งยังสนับสนุนมาตรฐาน H.323 สำหรับ VDC อีกทั้งการควบคุม และจัดสรรช่องสัญญาณรวมตลอดจนความยืดหยุ่นและรวดเร็วในการปรับความเร็ว ตามความต้องการใช้งานของ ระบบ iPSTAR ทำให้การใช้งาน VDC จากเดิมที่เคยมีความยุ่งยากในการติดตั้งอุปกรณ์ และมีค่าบริการที่ค่อนข้างสูง อีกทั้งความเร็วในการส่งข้อมูลถูกจำกัด เปลี่ยนมาเป็นความสะดวก รวดเร็ว ราคาถูก และสามารถประชุมทางไกลจาก ที่ใดก็ได้ ในลักษณะ Client/Server ผ่าน IP Network ของ iPSTAR นอกจากนี้ iPSTAR ยังมีจุดเด่นความสามารถด้าน Broadcast และ Multicast ทำให้สามารถแพร่ภาพและ ข้อมูลไปยังเครือข่ายหรือสาขา ที่มีจำนวนอุปกรณ์ปลายทางจำนวน มาก สามารถรับสัญญาณภาพทุกสาขาพร้อมกันได้
จุดเด่นของการทำงาน VDC
1. ราคาประหยัด และถูกกว่าการให้บริการแบบอื่นๆ มาก หากเปรียบเทียบกับ การใช้งานผ่านระบบอื่นๆ แบบเดิม
2. การติดตั้งง่าย ต่อจุดติดตั้ง 1 จุด สามารถติดตั้งได้เสร็จภายใน 1 วัน
3. หากเป็นการให้บริการแบบ Multicast คุณภาพของสัญญาณ ข้อมูล ที่ได้รับทุกสาขาปลายทาง สามารถรับสัญญาณได้เหมือนกัน และคุณภาพเดียวกัน
4. ระบบ IPSTAR สามารถนำมาประยุกต์ใช้งานร่วมกับระบบปฏิบัติการร่วมกับการควบคุมการประชุม ได้ เช่น การเพิ่ม/ลด จำนวนผู้เข้าประชุม , การแบ่งห้องประชุมออกเป็นหลายๆ ห้อง และใช้ไฟล์งานเข้าประชุมร่วมกันพร้อมๆ กัน
5. ไอพีสตาร์รองรับการใช้งาน Video Conference ในแบบแม่ข่าย / ลูกข่าย ( Client/Server ) ที่กำลังแพร่หลายได้
รูปภาพแสดง iPSTAR for Video Conferencing (VDC)

2. การใช้งานแบบมัลติมีเดีย (Multimedia) iPSTAR เป็นระบบเครือข่ายดาวเทียมที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานกับบริการ บรอดแบนด์ความเร็วสูงโดยเฉพาะ ทำให้ผู้ใช้งานผ่านเครือข่าย iPSTAR สามารถเข้าสู่โลกของข้อมูลข่าวสาร การเรียนรู้ และความ บันเทิงต่างๆ แบบ Multimedia ได้อย่างรวดเร็วและไม่มีขีดจำกัดด้านความเร็วอีกต่อไป ทั้งยังเป็นบริการที่มีการเชื่อมต่อแบบตลอดเวลา (Always on) และสามารถให้บริการบรอดแบนด์แบบ 2 ทาง บน Internet Protocol (IP) Platform เพื่อใช้ในการเข้าอินเตอร์เน็ตตามปกติ รวมถึงการใช้งานอื่นๆ บน IP Platform
จุดเด่นของการใช้งาน
• อุปกรณ์ไอพีสตาร์ สามารถใช้ในการรับส่ง- ข้อมูลได้ด้วยความเร็วในการเชื่อมต่อสูงสุดถึง 8 Mbps ในด้านรับ และ 2.5 Mbps ในด้านส่ง
• ไอพีสตาร์ สามารถรองรับการสื่อสารข้อมูล ภาพ เสียง ได้โดยไม่ถูกจำกัด และยังช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าสู่เครือข่าย IP จากที่ใดๆ ก็ได้ ในกรณีที่เครือข่ายสายภาคพื้นดินยังไปไม่ถึง
• ผู้ใช้สามารถใช้งานไอพีสตาร์ ร่วมกับการประยุกต์ใช้งานต่างๆ อาทิเช่น การร่วมประชุมทางไกลผ่านดาวเทียม ( Video Confernece) , การดาวโหลดข้อมูลภาพและเสียง และอื่นๆ
• ส่งข้อมูล ด้วยอุปกรณ์ปลายทาง สามารถกำหนดให้สอดคล้องกับความต้องการของการใช้งาน และเพื่อให้การใช้แบนด์วิดท์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
• ผู้ใช้งานที่อุปกรณ์ไอพีสตาร์ปลายทาง ทุกจุดติดตั้งสามารถรับสัญญาณด้วยคุณภาพเดียวกัน กับสัญญาณที่ส่งมาจากส่วนกลาง และยังสามารถรับสัญญาณได้แบบไม่จำกัดจำนวนผู้รับ
รูปภาพแสดงการใช้งานแบบ Multimedia

ชุดอุปกรณ์ของ iPSTAR มีอุปกรณ์ซึ่งประกอบไปด้วย
• Indoor Unit ( IDU )
1. iPSTAR Professional Series

2. iPSTAR Voice Series

• Outdoor Unit ( IDU )
3. จานดาวเทียมขนาด 1.2 เมตร LNB

อุปกรณ์จำเป็นที่ใช้ประกอบเพิ่มเติม คือ 1. เครื่องคอมพิวเตอร์
• CPU ระดับ Pentium MMX 200 MHz ขึ้นไป
• หน่วยความจำระดับ 64 MB ขึ้นไป
• พื้นที่เก็บข้อมูล 20 MB สำหรับการติดตั้งโปรแกรม
• เครื่องเล่นแผ่น CD ( CD-ROM Drive )
• ช่องต่ออุปกรณ์แบบ USB Port
• อุปกรณ์เครือข่าย ( LAN Card ) 2. อุปกรณ์สำหรับการเชื่อมเครือข่ายภายใน (LAN) ในกรณีที่ต้องการเชื่อมต่อมากกว่า 1 เครื่อง
การ ประยุกต์ใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่านเครือข่าย iPSTAR ระบบเครือข่าย iPSTAR FG สามารถนำไปใช้ในการสื่อสารข้อมูลความเร็วสูง ได้หลายรูปแบบ ได้แก่
• การรับ-ส่งข้อมูลสองทางแบบ Symmetric ที่ต้องการความเร็วของขารับและขาส่งใกล้เคียงกัน เช่น การประชุมทางไกล
• การรับ-ส่งข้อมูลสองทางแบบ Aysmmetric ที่ต้องการความเร็วของขารับมากกว่าขาส่ง เช่น Multimedia Internet Access
• การรับข้อมูลทางเดียวแบบ Broadcast หรือ Multicast เช่น การศึกษาทางไกล เครือข่าย IPSTAR ได้รับการออกแบบมา ให้สามารถรองรับการสื่อสารได้ทั้ง Voice, Data, และ Video บน Internet Protocol (IP) Platform ได้ที่ความเร็วสูงสุด 8 Mbps สำหรับขารับ และ 2.5 Mbps สำหรับขาส่ง
วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553
สื่ออินเตอร์เน็ต ในชีวิตประจำวัน

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทุกคนคงไม่ สามารถปฏิเสธได้ว่า สื่ออินเตอร์เน็ตได้มีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นสิ่งสำคัญส่วนหนึ่งใน ชีวิตประจำวันของคนทั่วไป (คิดเป็น 10% ของกลุ่มคนอายุ 12 ปีขึ้นไปจากทั่วประเทศ ที่ใช้อินเตอร์เน็ตทุกวัน) และโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ (คิดเป็น 25% กลุ่มคนอายุ 12 ปีขึ้นไปในกรุงเทพฯ และ 20% ของคนต่างจังหวัดที่ใช้อินเตอร์เน็ตทุกวัน) ทั้งนี้อาจเป็นเพราะความหลากหลายในการใช้งานที่ทุกคนสามารถเลือกที่จะใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องงาน เรื่องเรียน เพื่อการบันเทิง หรือแม้แต่จะใช้ในการจับจ่ายซื้อของต่างๆ
ดังนั้นถ้าเราเจาะดูในกลุ่มของผู้บริโภคในกรุงเทพฯแล้วจึงไม่น่าแปลกใจเมื่อ พบว่า เทรนด์การบริโภคสื่ออินเตอร์เน็ตเมื่อเทียบกับสื่ออื่นๆแล้วนั้น สื่ออินเตอร์เน็ตมีการเติบโตในอัตราสูงที่สุด โดยเมื่อเทียบปี 2549 กับ ปี 2552 พบว่าอัตราเติบโตเพิ่มมากขึ้นถึง 15% ในขณะที่สื่อหลักอื่นๆส่วนใหญ่ต่างก็มีอัตราการเติบโตที่ลดลง และ บางรายถึงกับติดลบก็มี
เมื่อแบ่งแยกดูคนกรุงเทพฯที่มีการบริโภคสื่ออินเตอร์เน็ตในช่วงอายุต่างๆ พบว่ามีการบริโภคเพิ่มขึ้นในแทบทุกกลุ่มช่วงอายุ หากแต่ว่ามีการเติบโตมากอย่างเห็นได้ชัดที่สุดในกลุ่มวัยรุ่น โดยเพิ่มขึ้นมาถึง 31% ซึ่งเหตุผลก็น่าจะมาจากหลายๆปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตการให้บริการที่ครอบคลุมมากขึ้นทั้งอินเตอร์เน็ตความเร็ว สูงหรืออินเตอร์เน็ตไร้สายในจุดบริการต่างๆ, การเพิ่มจำนวนของผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต รวมถึงเทรนด์ความนิยมของโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่สามารถเล่นอินเตอร์เน็ตได้ หรือแม้กระทั่งโปรโมชันและแพ็กเกจอินเตอร์เน็ตที่ราคาถูกและดึงดูดใจผู้ใช้
เมื่อเราดูในรายละเอียดของกิจกรรมในการใช้สื่ออินเตอร์เน็ตนั้น ก็พบว่าในสิ่งที่กลุ่มวัยรุ่นนิยมทำทางสื่ออินเตอร์เน็ตมากที่สุด 10 อันดับนั้น 3 อันดับแรกยังคงเป็น การรับส่งอี-เมล์, การติดต่อสื่อสารอื่นๆ เช่น การแชท การส่งเอสเอ็มเอสผ่านทางอินเตอร์เน็ต และการใช้โทรศัพท์ผ่านทางอินเตอร์เน็ต และการเล่นเกมออนไลน์ ส่วนอีกเทรนด์ที่ค่อนข้างมาแรง คือ การหาข้อมูล รีวิว ของสินค้าและบริษัท ที่มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นมากที่สุด (+186%)
ในขณะที่กลุ่มวัยทำงานตอนต้นนั้นมีการใช้งานอี-เมล์มากที่สุดเช่นกัน รองลงมาคือการอ่านข่าวสารและอัพเดตเรื่องราวต่างๆ (เช่น อัพเดตข่าวในและต่างประเทศ หรือการอ่านหนังสือพิมพ์และนิตยสารออนไลน์) และการพูดคุยติดต่อสื่อสารผ่านทางอินเตอร์เน็ตเป็นอันดับที่ 3 ซึ่งการพูดคุยติดต่อสื่อสารนั้นเป็นสิ่งที่คนในกลุ่มนี้เริ่มมีพฤติกรรมใน การทำเพิ่มขึ้นมากที่สุด (+176%) รองลงมาคือการหาข้อมูลของสินค้าและบริษัท (+56%)
ในขณะที่กลุ่มผู้ใหญ่ที่อายุ 40 ปีขึ้นไปนั้นมีการใช้งานอี-เมล์มากที่สุด ตามมาด้วยการอ่านข่าวสารอัพเดตเรื่องราวต่างๆ และการดาวน์โหลดโปรแกรมหรือไฟล์ต่างๆเป็นอันดับที่ 3 ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ การเพิ่มขึ้นของการพูดคุยติดต่อสื่อสารผ่านทางอินเตอร์เน็ต (+160%) ตามมาด้วยความนิยมในการดาวน์โหลดสิ่งต่างๆ (+55%)
จะสังเกตได้ว่า ในทั้ง 3 กลุ่มช่วงอายุนั้นมีการใช้งานอินเตอร์เน็ตในบางด้านที่มากเหมือนๆกัน เช่น การรับส่งอี-เมล์ ในขณะที่การอ่านข่าวสารและอัพเดตเรื่องราวต่างๆนั้นกลับเป็นที่นิยมเฉพาะใน กลุ่มผู้ใหญ่และคนทำงาน โดยมี 2 พฤติกรรมที่น่าสนใจคือ การพูดคุยติดต่อสื่อสารผ่านทางอินเตอร์เน็ต และ ที่มาแรงก็คือ การหาข้อมูลรีวิว ของสินค้าและบริษัท ซึ่งนี่จึงอาจเป็นอีกช่องทางที่นักการตลาดสามารถเข้าไปเป็นพันธมิตรกับกลุ่ม รีวิวบล็อกเกอร์ หรือคนที่ชอบเข้าไปเขียนรีวิวเพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าหรือบริการ หรือเราอาจปรับรูปแบบการให้ข้อมูลสินค้าให้มาเป็นในรูปแบบของรีวิว ก็น่าจะดึงดูดใจผู้อ่านได้มากกว่าวิธีเดิมๆ
ประโยชน์และโทษของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในชีวิตประจำวัน

ปัจจุบันโลกของเรามีความเจริญทางด้านวัตถุที่รุดหน้าไปมาก ความเจริญทางด้านวัตถุนั้นหลายคนคงทราบว่าเป็นเทคโนโลยี ที่มนุษย์ได้คิดค้นโดยการนำความรู้ วิทยาการต่างๆ มาประยุกต์ใช้ เพื่อสนองความต้องการให้ชีวิตมีความสะดวกสบายยิ่งขึ้น ด้วยความที่มนุษย์มีมันสมองจึงทำให้โลกเราพัฒนาด้านเทคโนโลยีไปเรื่อย อย่างไม่หยุดยั้ง จากอดีตถึงปัจจุบัน
สมัยก่อนการติดต่อสื่อสารของมนุษย์เราเป็นไปอย่างยากลำบาก และล่าช้า ซึ่งกว่าข้อมูลจะส่งถึงผู้รับได้ก็ต้องใช้เวลาหลายวันด้วยกัน แต่ด้วยความสามารถของบรรพบุรุษเรา ที่ชอบคิดค้น ประดิษฐ์ และพัฒนาสิ่งต่างๆ จนทำให้เกิดนวัตกรรมที่แปลกใหม่ดังเราได้เห็นในชีวิตประจำวัน ก็ทำให้วิถีชีวิตของเราต้องเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเครื่องมือ หรืออุปกรณ์ที่เราจะกล่าวถึงนี้ก็คือ เครื่องคอมพิวเตอร์นั่นเอง
คอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทในประเทศไทยในช่วงปีพ.ศ.2530 โดยได้เริ่มใช้ในหน่วยงานของรัฐก่อน จากนั้นจึงแพร่ขยายเข้าสู่ตัวบุคคล ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในเวลาต่อมา ด้วยความที่เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือที่ทันสมัย สามารถจัดการงานต่างๆได้หลายอย่างภายในตัว เปรียบได้กับมันสมองของคนเรา คอมพิวเตอร์จึงมีความสำคัญมากในชีวิตประจำวันของเรา ซึ่งเป็นเครื่องมืออีชนิดหนึ่งที่เข้ามาช่วยผ่อนภาระในการทำงานของมนุษย์เราในปัจจุบัน
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ก็คือ กลุ่มของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ถูกนำมาเชื่อมต่อกันผ่านอุปกรณ์ด้านการสื่อสารหรือสื่ออื่นๆ ทำให้ผู้ใช้ในระบบเครือข่ายสามารถติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนและใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ของเครือข่ายร่วมกันได้ การที่เครือข่ายคอมพิวเตอร์มีบทบาท และความสำคัญเพิ่มขึ้นเพราะไมโครคอมพิวเตอร์ได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลาย จึงเกิดความต้องการที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของระบบให้สูงขึ้นเพิ่มการใช้งานด้านต่าง ๆ และลดต้นทุนระบบโดยรวมลง เครือข่ายมีตั้งแต่ขนาดเล็กที่เชื่อมต่อกันด้วยคอมพิวเตอร์เพียงสองสามเครื่องเพื่อใช้งานในบ้าน หรือในบริษัทเล็กๆ ไปจนถึงเครือข่ายระดับโลกที่ครอบคลุมไปเกือบทุกประเทศเครือข่ายสามารถเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นจำนวนมากทั่วโลกเข้าด้วยกัน เราเรียกว่า เครือข่ายอินเทอร์เน็ต
อินเตอร์เน็ตเป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เพราะอินเตอร์เน็ตเป็นสื่อกลางที่คอยเชื่อมโยงให้ผู้ที่อยู่ห่างไกลกัน คนละซีกโลกสามารถติดต่อได้อย่างทั่วถึง สามารถเปิดโลกทัศน์ของผู้ใช้ให้กว้างไกลขึ้น เป็นเครื่องมือที่ให้ความเพลิดเพลิน และยังเป็นสื่อการเรียนรู้ที่ดีเยี่ยมอีกแขนงหนึ่ง โดยผู้ใช้สามารถท่องไปในแดนที่ผู้ใช้อยากรู้โดยผ่านทาง World Wide Web (www) นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถสั่งซื้อสินค้าหรือการบริการได้จากอินเตอร์เน็ต ทำให้ไม่เสียเวลาแก่ผู้ใช้แต่อย่างใด
แม้ว่าอินเตอร์เน็ตจะให้คุณประโยชน์แก่ผู้ใช้อย่างล้นเหลือ แต่ในทางกลับกันอินเตอร์เน็ตก็ให้ข้อเสียไว้หลายประการด้วยกัน อาทิเช่น อินเตอร์เน็ตเป็นระบบที่เปิดกว้าง มีผู้ใช้เป็นจำนวนมากมายทั่วโลก จึงยากที่จะควบคุมได้ ดังนั้นจึงเป็นแหล่งสื่อที่ไม่ดีต่างๆ เช่น เว็บอนาจาร แหล่งเกม การโฆษณาชวนเชื่อ ที่มักให้ข้อมูลผิดๆหรือกล่าวเกินจริง เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบมายังผู้ใช้ที่เป็นเยาวชนได้โดยตรง หากพวกเขาไม่ได้รับการเอาใจใส่หรือคำแนะนำที่ดีจากผู้ปกครองแล้ว พวกเขาอาจจะเป็นปัญหาต่อสังคมได้ โดยเฉพาะปัญหาเด็กติดเกม ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญในสังคมไทยปัจจุบัน
ถึงแม้อินเตอร์เน็ตจะให้ทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ถ้าเรารู้จักใช้ ใช้ให้เป็น ใช้ให้เกิดความคุ้มค่าแล้ว ปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน โดยผู้ปกครองก็ควรหันมาใส่ใจในตัวบุตรหลานด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาใช้อินเตอร์เน็ตในทางที่ผิด รวมทั้งให้คำแนะนำที่ดีแก่พวกเขา เท่านี้พวกเขาก็จะสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้อย่างปลอดภัย และเกิดประโยชน์แก่ตัวเองได้อย่างสูงสุด
เทคนิคการทำ Blog ให้น่าติดตาม
จะทำอย่างไรให้ Blog ของเรามีคนเข้ามาแล้วอยากกลับเข้ามาอีก เข้ามาแล้วคลิกอ่านหลายๆ หน้า ^^
By enjoyday.net
1. เมื่อผู้ชมเข้ามายัง Blog สิ่งแรกที่เห็นก็คือหน้าตาของ Blog ซึ่งควรจะสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ชมตั้งแต่แรกพบ (เหมือนรักแรกพบนั่นแหละค่ะ ) Theme ที่เราเลือกใช้นั้นจะเป็นตัวกำหนดอารมณ์ของ Blog และมีส่วนสำคัญที่จะทำให้ผู้ชมสนใจคลิกดูหน้าอื่นๆ อีกหรือไม่ ฉะนั้นการเลือก Theme ที่สวยงาม และเข้ากับเนื้อหาของ Blog จะช่วยสร้างบรรยากาศที่น่าประทับใจได้
โดยส่วนตัวแล้วชอบหน้าตาเว็บที่เรียบง่าย และดูสะอาดตาค่ะ หน้าตา blog ของ enjoyday ก็เลยออกมาเรียบๆ อย่างที่เห็น
ที่มาของรูป blogthemes.info
2. ในหน้าแรกควรมีข้อความแนะนำ Blog ของเราว่าเป็น Blog ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องอะไร มีไฮไลท์เรื่องอะไร ก็ให้เอามาโชว์ให้หมด อย่าให้ผู้ชมเข้ามาแล้วงงๆ ที่นี่ที่ไหน สุดท้ายก็จากไปโดยไม่คลิกอ่านสักหน้า
3. ตั้งชื่อเรื่อง/บทความ ที่เขียนให้น่าสนใจ อ่านหัวข้อแล้วสะดุด จนต้องคลิกเข้ามาอ่านเนื้อหา
4. นำเสนอเนื้อหาที่น่าสนใจ มีประโยชน์ ทันสมัย อาจเป็นเรื่องที่อยู่ในกระแสนิยม และควร Update บ่อยๆ
5. เวลาเขียนบทความ ส่วนไหนที่เป็นหัวข้อหลัก หรือหัวข้อย่อย ควรเน้นใส่ตัวหนา หรือเปลี่ยนสีให้ชัดเจน หรือจะเขียน Overview หัวข้อไว้ก่อนที่จะเข้าส่วนเนื้อหาก็ได้ จะทำให้ผู้อ่านเห็นภาพรวม และจับประเด็นของเนื้อหาได้ดี
6. ในการเขียนบทความ ไม่ควรพิมพ์ข้อความยาวติดเป็นพืด ควรเว้นวรรค และเคาะบรรทัดบ้าง มีการขึ้นย่อหน้าใหม่เวลาเปลี่ยนเรื่อง หรืออาจนำเสนอเนื้อหาโดยแบ่งเป็นข้อๆ ก็ได้ จะทำให้อ่านได้ง่ายขึ้น
7. ถ้าเนื้อหาที่จะเขียนยาวมาก ควรแบ่งเขียนเป็นตอนๆ จะทำให้คนอ่านไม่ล้า โดยปกติคนส่วนใหญ่จะไม่นิยมอ่านเรื่องอะไรที่ยาวมากๆ บนหน้าจอคอมพิวเตอร์หรอกค่ะ อย่างผู้เขียนเวลาอ่านบทความที่ยาวมากๆ มักจะเลิกอ่านกลางคัน แต่ถ้ามีการแบ่งเป็นตอนๆ กลับอ่านได้จนจบ เป็นเรื่องของจิตวิทยาอย่างหนึ่ง
8. ใส่ภาพประกอบลงไปในบทความด้วย จะทำให้บทความนั้นน่าสนใจขึ้น ดูแล้วไม่เบื่อ โดยเฉพาะบทความที่สอนการใช้งานโปรแกรม, การติดตั้งโปรแกรม ถ้ามีภาพประกอบจะช่วยให้เข้าใจง่าย ไม่ต้องเขียนคำบรรยายประกอบจนเยิ่นเย้อ ต้องขยัน Capture รูปหน่อย
9. การอ้างถึงบทความก่อนให้ใส่ลิงค์เอาไว้ให้ด้วย คนอ่านจะได้คลิกอ่านได้เลยไม่ต้องไปค้นหาเอง เช่น ผู้เขียนเคยเขียนเรื่อง “Blog คืออะไร” เอาไว้ ต่อมาเขียนเรื่อง “การสร้าง Blog ด้วย Wordpress” ก็จะทำลิงค์ไว้ตรงคำว่า Blog ให้เชื่อมไปหน้าบทความ Blog คืออะไร เป็นต้น
10. ติดตั้ง Plugin ที่ทำ Related Posts ไว้ด้วย บางครั้งคนอ่านมาเจอเว็บเราจากการค้นหาในเว็บ Search Engine ก็จะเข้ามาที่หน้าบทความหน้าใดหน้าหนึ่ง พออ่านเสร็จก็มักจะออกไปเลย แต่ถ้าได้เห็นลิงค์ของเนื้อหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เกิน 50% ต้องคลิกอ่านต่อแน่นอนค่ะ
11. ในหน้าบทความ ควรมีลิงค์สำหรับคลิกให้อ่านหน้าก่อนหน้านี้ และหน้าถัดไป ผู้ชมจะคลิกหรือไม่คลิก ก็แล้วแต่ค่ะ อย่างน้อยเราได้เพิ่มโอกาสให้ผู้ชมได้รู้จัก Blog เรามากขึ้นในบทความอื่นๆ
12. ติดตั้ง Plugin ที่แสดงเรื่อง/บทความ ที่มีคนอ่านมากที่สุด (Most Viewed) หรือแนะนำให้อ่าน (Recommended) ก็เหมือนกับร้านหนังสือที่มีการ show หนังสือที่ติดอันดับขายดีไว้หน้าร้านแหละค่ะ เห็นคนอ่านเยอะๆ ก็ต้องคลิกเข้าไปอ่านดูบ้าง เรื่องของจิตวิทยาอีกแล้ว
13. ควรมีหน้า Site map หรือแผงผังเว็บไซต์ ที่แสดงเนื้อหาทั้งหมดของ Blog หน้านี้จะเหมือนกับหน้าสารบัญในหนังสือ เวลาเราจะซื้อหนังสือก็มักจะดูจากสารบัญ ว่ามีเรื่องที่เราสนใจอยากอ่านหรือเปล่า Blog ของเราควรมีหน้านี้เหมือนกันค่ะ
14. อย่ายัดเยียดโฆษณาให้ผู้อ่านมากเกินไป จนน่ารำคาญ
15. ถ้ามีคนมาเขียน Comment ถามอะไร เจ้าของ Blog ก็ควรตอบกลับด้วย แสดงว่าเราน่ะเป็นมิตร แล้วยังจะได้เพื่อนเพิ่มด้วย