....

วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เทคนิคอ่านหนังสือยังไง...ไม่ให้ง่วง

น้องๆหลายคนมีปัญหากับการอ่านหนังสือซะเหลือเกิน! ปัญหาที่ว่าคือง่วงทุกทีที่หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน บางคนหนักว่านั้นถึงขั้นหลับซะดื้อๆเลยก็มี แบบนี้เนื้อหาสาระในหนังสือมีอะไรก็ไม่รู้เรื่อง


วันนี้ S!Campus มีวิธีทำความเข้าใจกับปัญหาและแก้ปัญหามาให้น้องๆ หวังว่าคงเป็นประโยชน์กับน้องๆบ้าง *-*

1. บรรยากาศรอบตัว ใครว่าบรรยากาศรอบๆตัวไม่มีผล(ขอเถี่ยง) จริงๆจากการศึกษาเขาว่ากันว่าบรรยากาศมีส่วนมากๆที่จะทำให้เราง่วง เช่น บางคนชอบอ่านหนังสือในที่มีแสงสว่างน้อย หรือแสงไฟสลัวๆ ซึ่งจริงๆแล้ว การอ่านหนังสือในที่มีแสงไม่เพียงพอจะทำให้สายตาเราทำงานหนักขึ้นและเมื่อย ล้าได้ง่าย ทำให้เมื่ออ่านไปได้สักระยะเราก็จะง่วง ดังนั้นน้องๆควรหาที่อ่านหนังสือที่มีแสงสว่างเพียงพอ

2. สถานที่ในการอ่านหนังสือ ใครว่าสถานที่ไม่สำคัญ น้องๆสังเกตบ้างหรือเปล่า ทำไมเราอ่านหนังสือในสวนหรือนอกบ้านเราจะไม่ค่อยรู้สึกง่วงสักเท่าไหร่ แต่เมื่อไหร่ที่อ่านหนังสือบนเตียงเป็นอันต้องหลับทุกที ก็บรรยากาศเป็นใจอ่ะเนอะ อิอิ ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการอ่านบนเตียงนอนโดยเด็ดขาด ถ้าไม่อยากสอบตก -*-

3. การพักผ่อน น้องๆหลายคนติดนิสัยนอนดึกนอนดื่นซะจนชิน (เนื่องจากติดละครหรืออะไรก็แล้วแต่) รู้ไหมการนอนดึกมีส่วนมากๆที่จะทำให้เราง่วง เพราะถ้าตอนกลางคืนเรานอนไม่เพียงพอในช่วงกลางวันร่างกายต้องการการผักผ่อน จึงส่งผลให้น้องๆหลายคนเกิดอาการง่วง รู้อย่างนี้แล้วอย่าลืมนอนหลับผักผ่อนแต่หัวค่ำนะ

4. เบื่อ ความเบื่อนำมาซึ่งความง่วง ถ้าไม่อยากเบื่อ อยากง่วงลองแบ่งเวลาในการอ่านหนังสือดู วันละกี่นาที กี่ชั่วโมงก็ว่ากันไป อย่าอ่านวิชาใดวิชาหนึ่งนานๆ เพราะอาจนำมาซึ่งความเซ็ง -*- ถ้าเรารู้จักแบ่งเวลาคิดว่าน่าจะตัดความเบื่อลงไปได้บ้าง

ฝากไว้ 4 ข้อและกัน หวังว่าคงจะเป็นประโยขน์กับน้องๆบ้างไม่มาก็น้อย




http://campus.sanook.com/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87-924155.html

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สิวบอกโรค บอกอารมณ์และโรคร้าย

สิวบอกโรค บอกอารมณ์และโรคร้าย



สิวบอกโรค


ตำแหน่งสิว บนผิวหน้า บ่งบอกอารมณ์และโรคร้ายได้อย่างคาดไม่ถึง (ไทยโพสต์)

สีหน้าและแววตา ใช้สื่อถึงความรู้สึกและอารมณ์ต่างๆ ได้ แต่ผิวหน้าของคนเราก็สามารถสื่อถึงสุขภาพภายในร่างกายได้เหมือนกัน


วิธีการสังเกตถึงสุขภาพภายในร่างกายของเราหรือของคนใกล้ตัวเรานั้น ด้วยศาสตร์ใหม่จากการวิเคราะห์สภาพผิว Face Mapping กระบวนการพิสูจน์และวิเคราะห์สภาพผิวด้วยศาสตร์ตะวันออก ซึ่งเป็นหนึ่งในปรัชญาความคิดเบื้องต้นที่ว่า "ผิวหน้าสามารถบ่งบอกได้ถึงสุขภาพภายในร่างกายที่มีผลกระทบต่อผิวพรรณ" ทำให้เข้าใจได้ถึงสาเหตุการเกิดปัญหาสุขภาพผิว


ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพผิว จากศูนย์สุขภาพผิวเลียวนาร์ด เดรก ได้นำเสนอแนวทางการป้องกันโดยมีหลักในการวิเคราะห์สภาพผิวแบบ Face Mapping นั้นจะเป็นการวิเคราะห์สภาพผิวที่ละเอียดกว่าการวิเคราะห์ผิวโดยทั่วไป โดยแบ่งส่วนใบหน้า ลำคอ และแผ่นอกออกเป็น 4 โซน



สิวบอกโรค


สิวบอกโรค : โซนที่ 1 และโซนที่ 3 ถ้ามีปัญหาสิวบริเวณนี้ คุณอาจมีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร ดังนั้นอาจต้องดื่มน้ำมากขึ้นหรือทานอาหารให้ครบ 5 หมู่


สิวบอกโรค : โซนที่ 2 สิวบริเวณหว่างคิ้ว เกี่ยวกับตับ อาจมีปัญหาในการย่อยแลคโทส (ดื่มนมไม่ได้) การทานอาหารรสจัดหรือทานอาหารดึกเกินไป


สิวบอกโรค : โซนที่ 4 และโซนที่ 10 ผิวบริเวณหูนี้เป็นผลพวงของไต หากรู้สึกร้อนที่หู คุณอาจต้องลดการรับประทานเนื้อสัตว์ลง


สิวบอกโรค : โซนที่ 5 และโซนที่ 9 บริเวณแก้มทั้งสองด้าน โดยแก้มส่วนบนจะเกี่ยวข้องกับไซนัสและปอด ส่วนแก้มส่วนล่าง เหงือกและฟัน สาเหตุอาจเป็นเพราะสูบบุหรี่จัด หรือแพ้ควันบุหรี่ ภูมิแพ้ เป็นหวัดเรื้อรัง หรืออาจใช้บลัชออนและรองพื้นไม่เหมาะสม ถ้าเป็นริ้วรอยลึกบริเวณโหนกแก้มอาจบ่งบอกถึงปัญหาเรื่องปอดหรือการหายใจ ถ้ามีสิวแบบเป็นๆ หายๆ ที่แก้มด้านล่างอาจมีปัญหาเรื่องเหงือกและฟัน หรือโทรศัพท์มือถือไม่สะอาด


สิวบอกโรค : โซนที่ 6 และโซนที่ 8 ตำแหน่งรอบดวงตาทั้ง 2 ข้าง เกี่ยวข้องกับไต และปัญหาภูมิแพ้ สาเหตุมาจากเครื่องสำอางที่ใช้อยู่ อาจไม่เหมาะสม หรือใส่แว่นตาที่เสียดสีมาก รอยคล้ำอาจเกิดจากการมีสารพิษตกค้างในร่างกายมาก หรือพักผ่อนน้อย เปลือกตาหากมีความระคายเคือง อาจมาจากการเป็นภูมิแพ้ หรือขาดสารอาหาร


สิวบอกโรค : โซนที่ 7 ผิวบริเวณจมูกและริมฝีปาก แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หากมีสิวบริเวณนี้อาจหมายถึงผลกระทบของการตั้งครรภ์ การมีประจำเดือน การรับประทานยาคุมกำเนิด


สิวบอกโรค : โซนที่ 11 และโซนที่ 13 หากผิวบริเวณนี้แตกระแหง สามารถบอกได้ว่าคุณกำลังมีปัญหาของฟันกราม หรือปัญหาเกี่ยวกับฟัน


สิวบอกโรค : โซนที่ 12 สิวเรื่อๆ บริเวณคางนี้ สามารถบ่งบอกได้ว่าคุณกำลังมีปัญหาเรื่องลำไส้เล็ก ที่มีผลจากการรับประทานของเผ็ด


สิวบอกโรค : โซนที่ 14 หากคุณมีสิวบริเวณนี้แล้วล่ะก็ แสดงว่าคุณกำลังเครียดสูง


นี่เป็นเพียงแค่รายละเอียดเพียงเล็กน้อยของการวิเคราะห์สภาพผิวหน้าที่ทำให้ รู้ได้ถึงสุขภาพภายในร่างกาย ซึ่งจะทำให้เราทราบได้ว่าจะต้องดูแลบำรุงทั้งสุขภาพภายในและภายนอกอย่างไร เพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพียงแค่นี้คุณก็จะมีทั้งสีหน้า แววตาและผิวพรรณที่เป็นสุขได้แล้ว

ว่าด้วยเรื่องข้าวกล้องล้วน ๆ

ว่าด้วยเรื่องข้าวกล้องล้วน ๆ





พูดถึงข้าวกล้องกันมากหลายที แต่ก็ยังคงมีคำถามค้างคาใจว่าข้าวกล้องคือข้าวอะไรแน่ ที่ว่าดีนั้นดีอย่างไร และจะทำอย่างไรให้ดีด้วย อร่อยด้วย งั้นเราลองมาคุยกันเรื่องข้าวกล้องอีกสักทีดีไหมครับ

ข้าวกล้อง เป็นข้าวพันธุ์ใดก็ได้ที่ขัดสีเพียงครั้งเดียว ทำให้ยังคงมีจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว (รำ) อยู่มาก ซึ่งจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวนี่เองที่ทำให้กล้องมีคุณประโยชน์พิเศษ คือนอกจากจะมีคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมันอิ่มตัวแล้ว ยังมีสารอาหารเหล่านี้อยู่สูงอีกด้วย

*วิตามินบี 1 ช่วยป้องกันโรคเหน็บชาและช่วยในการทำงานของระบบประสาทในการบังคับกล้ามเนื้อ

*วิตามินบี 2 ช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอกและช่วยในการเผาผลาญอาหาร

*ไนอะซิน ช่วยในการทำงานของระบบผิวหนังและระบบประสาท

*แคลเซียม ฟอสฟอรัส ที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของกระดูก และเหล็กซึ่งช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบเลือด

*เส้นใยอาหาร ทำให้ขับถ่ายสะดวก และป้องกันการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่

แต่แม้จะมีคุณค่าทางอาหารดีเพียงใดหากรสชาติไม่ถูกปากซะอย่างเดียว หลายบ้านก็คงจะไม่ต้อนรับเข้าเป็นอาหารหลักประจำบ้านหรอก จริงไหมครับ ซึ่งถ้าจะให้อร่อยคงคุณค่านั้น ต้องเริ่มจากวิธีเลือกซื้อหุง และเก็บรักษากันเลย



วิธีเลือกซื้อและเก็บรักษาข้าวกล้อง


*เลือกข้าวที่ไม่มีรอยแหว่งตรงปลายเมล็ดข้าว เพราะหากมีรอยแหว่ง แสดงว่าจมูกข้าวซึ่งเป็นส่วนที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลุดไป

*เมล็ดข้าวควรเป็นสีขุ่น หรือมีสีน้ำตาลปนมากน้อยแล้วแต่พันธุ์ข้าว หากมีสีเขียวอ่อนติดอยู่ แสดงว่าเป็นข้าวที่เก็บเกี่ยวมาใหม่ และส่วนของเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวซึ่งเป็นเส้นใยอาหารยังไม่ถูกขัดสีทิ้งไป อันนี้จะยิ่งดีครับ

การสังเกตว่าสีเขียวที่เมล็ดข้าวเป็นสีเขียวจากราหรือข้าวที่เก็บเกี่ยวมา ใหม่ ให้สังเกตว่า หากเป็นราจะมีลักษณะเป็นปุย ๆ ซึ่งเป็นสปอร์ของราครับ แต่ถ้าเป็นสีขาวของข้าวที่เก็บเกี่ยวใหม่ ๆ จะเป็นสีเขียวเหมือนสีใบไม้อ่อน ๆ และเคลือบอยู่บาง ๆ ที่ผิวของเมล็ดข้าว

*เลือกข้าวที่ตากหรืออบจนแห้งสนิทไม่มีกลิ่นอับชื้น ขึ้นรา หรือมีมอด

*เลือกซื้อข้าวที่บรรจุในถุงที่สะอาดปิดสนิท ระบุสถานที่ผลิตและราคาจำหน่าย

*การซื้อมาบริโภค ควรซื้อในปริมาณที่สามารถบริโภคได้หมดภายใน 2-3 สัปดาห์

*อาจเก็บไว้ในตู้เย็น หรือหากไว้นอกตู้เย็นก็ควรเก็บในภาชนะที่สะอาด ปิดมิดชิด อาจใส่พริกหรือใบมะกรูดลงไปในข้าว เพราะสารระเหยจากพริกหรือใบมะกรูดจะช่วยป้องกันมอดและแมลงได้ครับ

วิธีหุงแสนง่าย

หลายคนยังติดว่าข้าวกล้องเป็นข้าวที่ค่อนข้างแข็ง หุงยาก ใช้เวลานาน แต่ความจริงแล้วข้าวกล้อง หุงง่ายมากครับ แค่เก็บสิ่งสกปรกออกแล้วซาวน้ำเร็ว ๆ เพียงครั้งเดียว เพื่อรักษาคุณค่าไม่ให้วิตามินในข้าวละลายไปกับน้ำ และไม่ต้องแช่ข้าวทิ้งไว้ จากนั้นใส่น้ำในปริมาณข้าว 1 ส่วนต่อน้ำ 2 ส่วน นึ่งในลังถึงหรือใช้หม้อหุงข้าวไฟฟ้าก็ได้

พิเศษยิ่งขึ้น หากหุงด้วยการนึ่งสามารถเพิ่มความหอมจากกลิ่นหม้อดินด้วยการใช้ถ้วยดินเผา ใส่ข้าวสารที่ล้างสะอาดแล้วลงไปประมาณครึ่งถ้วย จุ่มนิ้วชี้ลงไปที่ก้นถ้วย เติมน้ำจนถึงประมาณข้อแรกของนิ้วชี้ หรือมากกว่าหากชอบรับประทานข้าวนิ่ม การนึ่งในถ้วยจึงดีตรงที่สามารถหุงข้าวแต่ละถ้วยให้แข็งหรือนุ่มได้ครบตาม ความชอบของสมาชิกในครอบครัว เพราะนึ่งแต่ละคราวได้หลายถ้วย

ที่มาhttp://health.kapook.com/view3993.html

ผักเพื่อสุขภาพ แก้ปวดฟัน ต่อกระดูก แก้อักเสบ






ผัก คราดหัวแหวนเป็นสมุนไพรที่ชอบขึ้นในที่แฉะๆ พบได้ทุกภาคของประเทศไทย ผักคราดหัวแหวนจัดว่าเป็นสมุนไพรดอกสวย ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับได้ดี บางคนเรียกผักคราดหัวแหวนว่า ดอกกระดุมทอง ดอกตุ้มหู บ้าง เพราะดอกผักคราดหัวแหวนดูๆ ไปก็คล้ายหัวแหวนสีทอง บางคนก็บอกว่าคล้ายกระดุมทอง ดูอีกทีก็เหมือนตุ้มหูสีทอง ผักคราดหัวแหวนจึงถูกเรียกกันหลายชื่อ แล้วแต่ว่าใครจะคิดถึงเครื่องประดับชนิดไหน
ผักคราดหัวแหวนเป็นสมุนไพรที่เคยรับรู้มาตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา เภสัชศาสตร์ว่า เป็นสมุนไพรแก้ปวดฟัน มีฤทธิ์เป็นยาชาด้วยสารที่ชื่อ Spilanthol และเมื่อจบออกมาทำงานที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้ทำสวนสมุนไพรเล็กๆ และได้นำผักคราดหัวแหวนมาปลูกไว้ เมื่อมีคนมาดูงานก็มักจะให้ทดลองกัดดอกของผักคราดหัวแหวนไว้ที่ฟัน แล้วจึงค่อยบอกว่าผักคราดหัวแหวนมีสรรพคุณเป็นยาชา ถึงตอนนั้นปากของเขาก็ชาไปแล้ว เป็นวิธีการให้คนเข้าถึงสมุนไพรอีกวิธีหนึ่ง
เมื่อก่อนที่จะได้พบพ่อเม่ากับคุณตาส่วนนั้นไม่เคยรู้เลยว่า ผักคราดหัวแหวนกินเป็นผักได้ โดยจะกินยอดอ่อน ใบอ่อน แกล้มน้ำพริก แกล้มลาบ และเมื่อเดินทางไปตามหาสมุนไพรแถวๆ ทางเหนือ ทั้งลำปาง เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน พบผักคราดหัวแหวนวางขายเป็นกองๆ อยู่ในตลาดสดมากมาย จนพอจะเดาได้ว่า แถบนี้คงมีการปลูกผักคราดหัวแหวนเป็นพืชผักเศรษฐกิจแน่ๆ ซึ่งต่อมาทราบว่าคนทางเหนือจะเอาผักเผ็ดไปแกงแค คนอีสานจะเอาไปใส่อ่อมปลา อ่อมกบ ส่วนคนทางใต้จะนำผักคราด ไปแกงร่วมกับหอยและปลา รสเผ็ดชาลิ้น หวานๆ ขมๆ
ตอนแรกก็สงสัยอยู่บ้างว่าทำไมคนจึงต้องไปกินผักที่มีรสชาติประหลาดที่ สุด ชนิดหนึ่ง (จะเป็นรองก็คงผักคาวตอง) เมื่อได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูลทางเอกสารจึงทราบว่า ผักคราดหัวแหวนช่วยกระตุ้นให้น้ำลายออกมามาก ช่วยให้การย่อยอาหารในปากและกระเพาะอาหารดีขึ้น และยังช่วยรักษาอาการต่อมน้ำลายอักเสบได้ด้วย การกระตุ้นต่อมน้ำลายนั้นยังช่วยกระตุ้นระบบน้ำเหลืองจึงทำให้ระบบภูมิคุ้ม กันดีขึ้น สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ได้ดีขึ้น ที่น่าทึ่งไปกว่านั้นคือสาร Spilanthol มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อปรสิตที่อยู่ในกระแสเลือด เช่น เชื้อมาลาเรีย โดยไม่มีพิษต่อคน ดังนั้น จึงมีแนวโน้มว่าการกินผักคราดหัวแหวนจะสามารถป้องกันมาลาเรียได้ และการที่ผักคราดหัวแหวนมีรสเผ็ดร้อนจึงช่วยในการขับลม รักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ได้อีกด้วย
ผักคราดหัว แหวน…หมอฟันจำเป็น ที่คนทั้งโลกก็รู้

ใครๆ ที่รู้จักผักคราดหัวแหวนต่างก็รู้ดีว่าผักคราดหัวแหวนแก้ปวดฟัน หมอยาไทยใหญ่ ทั้งในฝั่งรัฐฉานและในฝั่งไทย หมอยาไทยเลย หมอยาภาคใต้ และหมอยาภาคกลาง ต่างก็ใช้ผักคราดหัวแหวนเป็นยาแก้ “แมงกินฟัน” (หมอยาพื้นบ้านทุกภาคมีความเชื่อตรงกันว่าการที่ฟันผุนั้นมีพยาธิที่มักจะ เรียกกันว่า “แมงกินฟัน” เป็นตัวการทำให้ฟันผุและปวดฟัน) โดยจะใช้เฉพาะดอกขยี้ใส่หรือใช้ทั้งห้าตำผสมเกลือ คั้นเอาน้ำใส่ซอกฟันที่กำลังปวดจะทำให้หายปวดฟัน ทั้งนี้เพราะผักคราดหัวแหวนมีฤทธิ์เป็นยาชาและมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ อย่างกว้างขวางจึงทำให้ผักคราดหัวแหวนสามารถใช้แก้ปวดฟันได้ในยามที่ไม่มี หมอฟัน ในหลายประเทศผักคราดหัวแหวนมีฉายาว่า Toothache Plant ซึ่งหมายถึงการใช้เป็นยาแก้ปวดฟันเช่นเดียวกับบ้านเรา
นอกจากจะใช้เป็นยาแก้ปวดฟันตามที่กล่าวมาแล้ว ยังมีการนำรากมาต้มเอาน้ำบ้วนปาก แก้อาการอักเสบในช่องปาก แก้เหงือกอักเสบ และแก้เจ็บคอได้อีกด้วย
ผักคราดหัว แหวน…ยารักษากระดูกหัก
ยาห้ามเลือด รักษาแผล
ผักคราดหัวแหวนเป็นยาทำให้กระดูกต่อกันได้ การใช้ผักคราดหัวแหวนในการรักษากระดูกหักนั้นไม่เคยพบที่ไหน จนกระทั่งไปพบกับหมอยาไทยใหญ่ ซึ่งชุมชนไทยใหญ่ยังมีปัญหากระดูกแตกกระดูกหักกันอยู่มากและส่วนหนึ่งยังไม่ ศรัทธาการรักษากระดูกหักตามระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน ตำรับหนึ่งที่เขาใช้รักษากระดูกหัก กระดูกแตกคือการใช้ผักคราดหัวแหวนตำรวมกับตะไคร้พอกกระดูกไว้ เปลี่ยนยาทุก ๖ วัน ครบ ๔๑ วัน กระดูกจะต่อกันติด ซึ่งอาจเป็นเพราะผักคราดหัวแหวนมีฤทธิ์ร้อนทำให้เลือดมาเลี้ยงบริเวณนั้นมาก ขึ้น ทั้งยังมีฤทธิ์แก้อักเสบ จึงอาจช่วยเรื่องกระดูกหักได้ ผักคราดหัวแหวนยังเป็นยาห้ามเลือดที่ดีชนิดหนึ่งเมื่อมีบาดแผล ชาวบ้านจะขยี้หรือตำต้นสดพอกแผลเลือดจะหยุดไหล


ผักคราดหัว แหวน…ยาแก้ปวดตามกระดูกและกล้ามเนื้อ
ยารักษาอัมพฤกษ์ อัมพาต เหน็บชา
หมอยาพื้นบ้านหลายพื้นที่ยังนิยมใช้ผักคราดหัวแหวนเป็นยาแก้ปวดเมื่อย ตาม ร่างกาย ปวดกระดูก ปวดกล้ามเนื้อ แก้ปวดบวม ฟกช้ำ โดยตำทั้งต้นใส่น้ำพอชุ่มพอกบริเวณที่ปวดบวม ฟกช้ำ จะระงับอาการปวดบวมและแก้อักเสบได้ สำหรับคนที่เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต เหน็บชา จะใช้ผักคราดหัวแหวนกับพริกไทย หัวอุตพิด ในอัตราส่วนเท่าๆ กันผสมน้ำมันพืชทา หรือจะใช้ผักคราดหัวแหวนกันสมุนไพรที่มีรสร้อนตัวอื่นๆ เช่น ข่า ไพล ตะไคร้ ก็ได้ ขึ้นกับว่าในท้องถิ่นมีสมุนไพรอะไรอยู่ หรือใส่ในยาอบร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นเพื่อแก้ปวดเมื่อย แก้ปวดตามข้อก็ได้


ผักคราดหัว แหวน…ยาสำหรับผู้หญิง
ผักคราดหัวแหวนเป็นยาแก้ปวดประจำเดือนที่ดีชนิดหนึ่ง โดยจะคั้นน้ำจากต้นสดของผักคราดหัวแหวนผสมน้ำผึ้งรับประทาน ส่วนหมอยาพื้นบ้านภาคใต้จะใช้ต้นสดของผักคราดหัวแหวน ผสมน้ำมะนาวทำเป็นลูกกลอนขนาดเท่าเม็ดพุทรา กินครั้งละ ๑ เม็ดหลังอาหาร ผักคราดหัวแหวนยังนิยมใช้ใส่ในยาอบหรือยาอาบหลังคลอดโดยใช้ร่วมกับใบหนาด ใหญ่และใบมะขาม เพื่อบำรุงเลือดลมสตรีให้ทำงานเป็นปกติ


พ่อหมอยาบอกว่าผักเผ็ดที่มีฤทธิ์ดีในการนำมาทำยานั้นควร เป็นผักเผ็ดที่ขึ้นตามธรรมชาติ

คุณค่าทางยาพื้นบ้าน
มีสรรพคุณเป็นอาหารบำรุงธาตุหญิงหลังคลอด และมีอาการวิงเวียนศีรษะ

ที่มา : thrai.sci.ku.ac.th

10 ข้อแนะนำการใช้ยา

10 ข้อแนะนำการใช้ยา






10 ข้อแนะนำการใช้ยา (ธรรมลีลา)

เภสัชกรมนตรี สุวณิชย์ ฝ่ายเภสัชกรรม รพ.ศิริราช มีข้อแนะนำการใช้ยาดังนี้

1. ยาก่อนอาหาร กินก่อนอาหารครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง ยกเว้นยาบางชนิดที่มีข้อแนะนำพิเศษ

2. ยาหลังอาหาร กินหลังอาหารสิบห้านาทีถึงครึ่งชั่วโมง

3. ยาหลังอาหารทันที ให้กินหลังอาหารทันที เช่น ยาลดอาการอักเสบปวดข้อหรือกล้ามเนื้อ

4. ยาพร้อมอาหาร กินพร้อมอาหารในมื้อนั้น ๆ

5. ยาผงผสมน้ำกินฆ่าเชื้อสำหรับเด็ก หลังจากผสมน้ำแล้วไม่ควรใช้เกิน 7 วัน ขณะที่ไม่ใช้ยา ควรเก็บยาในตู้เย็นชั้นใต้ช่องแช่แข็งลงมา ห้ามเก็บไว้ในช่องแช่แข็ง

6. ยาหยอดตา หลังเปิดใช้แล้วจะเก็บไว้ได้ไม่เกิน 1 เดือน โดยทั่วไปจะเก็บในตู้เย็นชั้นใต้ช่องแช่แข็งลงมา ห้ามเก็บในช่องแช่แข็ง

7. ยาป้ายตา หลังเปิดใช้แล้วจะเก็บไว้ได้ไม่เกิน 1 เดือน ในอุณหภูมิห้องปกติ

8. ยาเก็บในตู้เย็น เก็บในอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส หรือชั้นใต้ช่องแช่แข็งลงมา ห้ามเก็บในช่องแช่แข็ง

9. การเก็บรักษายาทั่วไป ควรเก็บไว้ในที่แห้ง และพ้นจากแสงแดด

10. อาการแพ้ยา หากกินยาแล้วมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น เช่น มีผื่นคันตามตัว มีจ้ำที่ผิวหนัง หน้ามืด แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หรือใจสั่น ให้หยุดยา และมาปรึกษาแพทย์ทันที
ปลอดโรค ด้วยกิจวัตร อาหารยา
ยา





ปลอดโรค ด้วยกิจวัตร อาหารยา Clock Food, Daily Eat (Twenty-Four Seven)

ความ เที่ยงตรงของเข็มนาฬิกาและสุขภาพแข็งแรง เกิดขึ้นได้ด้วยสิ่งเดียวกัน นั่นคือการทำงานที่มีประสิทธิภาพ สมดุล จากฟันเฟืองภายใน ดังนั้น หากคุณอยากมีลาภอันประเสริฐ ด้วยสุขภาพสมบูรณ์ ปลอดโรคภัย นี่คือ 10 ความเจ็บป่วยที่ป้องกันได้ด้วยอาหารยา ที่ควรกินในทุกวันให้เป็นกิจวัตร

ปวดศีรษะ

อาหารยา : ปลา , ขิง

สรรพคุณที่ควรรับประทานทุกวัน : น้ำมันในเนื้อปลาช่วยป้องกันอาการปวดหัว โดยเฉพาะถ้าเป็นปลาทูน่า, แมคคาเรล,แซลมอน, ซาร์ดีน ยังช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันร่างกายด้วย และจะดีมากถ้ามีขิงร่วมด้วย เพราะจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบรรเทา และลดการติดเชื้อไวรัส

หลอดเลือดอุดตันจากการดื่มชา

อาหารยา : ชาเขียว

สรรพคุณที่ควรรับประทานทุกวัน : เปลี่ยนจากดื่มชาชนิดต่าง ๆ มาดื่มเฉพาะชาเขียวที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ และเสริมความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกัน

นอนไม่หลับ

อาหารยา : น้ำผึ้ง

สรรพคุณที่ควรรับประทานทุกวัน : ในน้ำผึ้งประกอบด้วยสารชีวภาพที่ช่วยระงับความฟุ้งซ่าน และระงับประสาท เสริมความสงบ

แน่นหน้าอก

อาหารยา : หอมหัวใหญ่

สรรพคุณที่ควรรับประทานทุกวัน : หัวหอมใหญ่มีน้ำมันหอมระเหย และสารที่ช่วยขยายระบบหลอดลม ลดอาการแน่นหน้าอก และหน้ามืดเป็นลม

การบำบัดในช่วงเป็นหวัดคือ ใช้หัวหอมฝานบาง ๆ ใส่ถุงตาข่ายประคบช่วงหน้าอก จะช่วยบรรเทาอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล

คลื่นเหียนวิงเวียน

อาหารยา : กล้วย,ขิง

สรรพคุณที่ควรรับประทานทุกวัน : กล้วยช่วยลดอาการบีบรัดลำไส้ ส่วนขิงช่วยลดไข้และอาการคลื่นเหียน

กระเพาะปัสสาวะติดเชื้อ

อาหารยา : น้ำแครนเบอร์รี่

สรรพคุณที่ควรรับประทานทุกวัน : ในน้ำแครนเบอร์รี่มีกรดต่อต้านแบคทีเรีย

กระดูกเปราะพรุน

อาหารยา : สับปะรด

สรรพคุณที่ควรรับประทานทุกวัน : ในสับปะรดมีสารแมงกานีส ช่วยป้องกันโรคกระดูกเปราะ กระดูกพรุน

ระบบความจำ

อาหารยา : หอยนางรม

สรรพคุณที่ควรรับประทานทุกวัน : หอยนางรมอุดมด้วยอินทรียสาร สังกะสีช่วยเสริมประสิทธิภาพในระบบความจำและสมอง

มะเร็งในทรวงอก

อาหารยา : กะหล่ำปลี,ข้าวสาลี, รำและจมูกข้าว

สรรพคุณที่ควรรับประทานทุกวัน ในผักเหล่านี้เป็นแหล่งรวมฮอร์โมนพืช ที่มีคุณสมบัติเหมือนฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิง ช่วยเสริมสมดุลการทำงานของร่างกาย และลดความเสี่ยงโรคจากต่อมใต้สมอง

ความดันโลหิต

อาหารยา : ขึ้นฉ่าย,น้ำมันมะกอก

สรรพคุณที่ควรรับประทานทุกวัน : สารประกอบในอาหารจำพวกนี้ช่วยลดความดันในระบบไหลเวียนโลหิต

ความดันสูง-ต่ำไม่สมดุล

อาหารยา : บร็อกโคลี,ถั่วลิสง

สรรพคุณที่ควรรับประทานทุกวัน : ในบร็อกโคลีและถัวลิสง มีสารโครเมียม ช่วยเพิ่มอินซูลินในการควบคุมความสมดุลน้ำตาลในระบบเลือด

มะเร็งปอด

อาหารยา : ส้ม, ผักสีเขียวและเหลือง

สรรพคุณที่ควรรับประทานทุกวัน : ในผักผลไม้สีส้ม, เหลือง และผักใบสีเขียวเข้มอุดมด้วยเบต้าแคโรทีน ช่วยเยียวยาปอดและระบบฟอกโลหิต

70% ของการไม่สบายและโรคภัย เกิดจากการปล่อยปละละเลย และไม่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ ดังนั้น...อย่าให้ความไม่ใส่ใจทำให้ความแข็งแรงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำได้ง่าย ๆ ในกิจวัตรประจำวัน ลุกลามเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตเลย

แค่เริ่มจัดระเบียบการกินตั้งแต่วันนี้ ทุกคนก็สร้างเหตุแห่งลาภอันประเสริฐได้ โดยไม่ต้องอธิษฐาน